แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์มาครั้งหนึ่งซึ่งศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยแล้วและพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลย มิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาเดียวกันนั้นอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 144 นอกจากศาลอุทธรณ์ได้วินิจฉัยไว้ในอุทธรณ์เดิมว่าจำเลยฝ่ายเดียวไม่อาจถอนคำท้าได้ ยังวินิจฉัยต่อไปว่า ศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไป ดังนั้นเมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและคำพิพากษาใหม่ ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ จึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์แล้ว ไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไปเพราะจำเลยสละประเด็นข้อพิพาทนี้แล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์หลายครั้งต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม 2529 จำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้เงินรวมยอดหนี้จำนวน 90,000 บาท ให้โจทก์ ตกลงให้ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี กำหนดชำระคืนภายในวันที่ 30 มีนาคม 2534ครบกำหนดแล้วจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยให้โจทก์และค้างชำระดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน 59,625 บาท ขอให้จำเลยชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยไม่เคยกู้และรับเงินจากโจทก์ สัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นเอกสารปลอมที่โจทก์ทำขึ้นทั้งฉบับขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทในชั้นชี้สองสถานว่าหนังสือสัญญากู้ตามฟ้องเป็นเอกสารปลอมหรือไม่ ภาระการพิสูจน์ตกแก่โจทก์ให้โจทก์นำสืบก่อน ในวันนัดสืบพยานโจทก์นัดแรกโจทก์จำเลยท้ากันให้ส่งสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยถือเป็นข้อแพ้ชนะ หากกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ลงความเห็นว่า ลายมือชื่อในช่องผู้กู้น่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลย จำเลยยอมแพ้ หากลงความเห็นว่าลายมือชื่อผู้กู้ไม่น่าจะเป็นลายมือชื่อของจำเลย โจทก์ยอมแพ้โจทก์จึงขอส่งหลักฐานไปตรวจพิสูจน์ ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอถอนคำท้า ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้ถอนคำท้าและมีคำสั่งว่าเมื่อจำเลยรับว่าเป็นลายมือชื่อของจำเลย จึงไม่มีความจำเป็นต้องพิสูจน์ลายมือชื่อของจำเลยอีกต่อไป คดีพอวินิจฉัยได้แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ตามฟ้อง จำเลยอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า คำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้นั้น เป็นการที่คู่ความตกลงกันสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้ โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติ จำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่แต่ศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการโดยความเห็นของกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ เป็นเงื่อนไขสำคัญของคำท้า นอกจากนี้จำเลยปฏิเสธว่าสัญญากู้ปลอม 2 ประการคือ ข้อความตามสัญญากู้ปลอมและลายมือชื่อปลอม การที่คู่ความท้าพิสูจน์ลายมือชื่ออย่างเดียวถือว่าสละข้อต่อสู้ข้ออื่นแต่ถ้ากองพิสูจน์หลักฐานไม่อาจตรวจพิสูจน์ได้ คำท้าย่อมตกไปดังนั้นแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อในสัญญากู้เป็นของตนก็ตามก็ยังมีประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่ ที่ศาลชั้นต้นด่วนพิพากษาตามคำรับของจำเลยโดยไม่รอฟังรายงานการตรวจพิสูจน์ตามคำท้าจึงเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ศาลชั้นต้นส่งเอกสารไปตรวจพิสูจน์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า เมื่อกองพิสูจน์หลักฐานกรมตำรวจ ผู้ตรวจพิสูจน์ลงความเห็นว่า ลายมือชื่อผู้กู้ในเอกสารหมาย จ.1 เป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อจำเลยในเอกสารตัวอย่าง จำเลยจึงต้องแพ้คดีตามที่ท้ากัน พิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 90,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2529 ไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า จำเลยแต่ฝ่ายเดียวจะถอนคำท้าที่ให้ส่งสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้โดยโจทก์ไม่ยินยอมได้หรือไม่ ปัญหาข้อนี้จำเลยเคยยื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 1มาครั้งหนึ่งแล้วซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยตามคำพิพากษาลงวันที่ 15 ตุลาคม 2535 ว่า คำท้าดังกล่าวเป็นการที่คู่ความสละประเด็นข้อพิพาทที่ศาลชั้นต้นทำการชี้สองสถานไว้ โดยยึดเอาผลตามคำท้าเป็นข้อยุติ จำเลยหาอาจยกเลิกคำท้าแต่ฝ่ายเดียวได้ไม่แต่เมื่อศาลชั้นต้นอนุญาตให้ดำเนินกระบวนพิจารณาตามคำท้าแล้วศาลชั้นต้นจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงนั้นให้ตรงตามคำท้าทุกประการโดยความเห็นของกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ เป็นเงื่อนไขสำคัญจึงพิพากษาให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยหาได้ฎีกาโต้แย้งไม่ ปัญหาดังกล่าวจึงยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 เมื่อศาลชั้นต้นส่งสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 ไปตรวจพิสูจน์ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1และพิพากษาใหม่แล้ว จำเลยอุทธรณ์โต้แย้งในปัญหาดังกล่าวอีกจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาซ้ำต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 144 แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะได้วินิจฉัยในปัญหาดังกล่าวให้อีกก็เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาในปัญหาข้อต่อไปว่า ศาลชั้นต้นมิได้ดำเนินกระบวนพิจารณาให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2535 เป็นการไม่ชอบนั้น เห็นว่านอกจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 จะวินิจฉัยว่า จำเลยฝ่ายเดียวไม่อาจถอนคำท้าได้แล้ว ยังวินิจฉัยต่อไปว่าศาลจะต้องพิพากษาไปตามข้อตกลงให้ตรงตามคำท้าทุกประการแม้จำเลยจะแถลงรับว่าลายมือชื่อผู้กู้ในสัญญากู้เอกสารหมาย จ.1 เป็นของตนก็ไม่ทำให้คำท้าสิ้นผลไปแต่อย่างใด พึงเห็นได้ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1ว่า การพิพากษาให้ตรงตามคำท้านั้น จึงหมายถึงการที่จะต้องส่งสัญญากู้ตามเอกสารหมาย จ.1 ไปตรวจพิสูจน์ลายมือชื่อผู้กู้ว่าเป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยหรือไม่ แล้วพิพากษาไปตามคำท้า อันมีผลเป็นการสละประเด็นข้อพิพาทอื่นด้วยเมื่อกองพิสูจน์หลักฐาน กรมตำรวจ ทำการตรวจพิสูจน์แล้วลงความเห็นว่าลายมือชื่อผู้กู้ในเอกสารหมาย จ.1เป็นลายมือชื่อคนเดียวกับลายมือชื่อของจำเลยซึ่งเป็นการตรงตามคำท้าแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องนำสืบในประเด็นว่าข้อความในสัญญากู้ปลอมหรือไม่อีกต่อไปดังที่จำเลยฎีกาศาลอุทธรณ์ภาค 1 จึงวินิจฉัยไว้ในคำพิพากษาตอนท้ายว่าที่ศาลชั้นต้นด่วนพิพากษาตามคำรับของจำเลยโดยไม่รอฟังรายงานการตรวจพิสูจน์ตามคำท้าเป็นกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี เมื่อศาลชั้นต้นได้ส่งเอกสารที่มีลายมือชื่อของจำเลยไปตรวจพิสูจน์ตามคำท้าและพิพากษาใหม่แล้วจึงเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตรงตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ภาค 1ลงวันที่ 15 ตุลาคม 2535 ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน