แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
รถยนต์ของกลางเป็นทรัพย์สินที่จำเลย (สามี) และผู้ร้อง (ภริยา) ซื้อมาด้วยเงินที่ได้มาระหว่างสมรส ผู้ร้องกับ จำเลยจึงมีส่วนเป็นเจ้าของร่วมกันคนละครึ่ง เมื่อจำเลย นำเอารถยนต์ดังกล่าวไปใช้ในการกระทำความผิดจนถูกศาล พิพากษาให้ริบไปแล้ว ผู้ร้องซึ่งมิได้มีส่วนรู้เห็นเป็นใจใน การกระทำความผิดของจำเลยด้วย ย่อมมีสิทธิขอคืนได้กึ่งหนึ่ง ส่วนอีกกึ่งหนึ่งตกเป็นของอันพึงต้องริบ
ย่อยาว
กรณีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ปรับจำเลยทั้งสอง และริบของกลางในความผิดต่อพระราชบัญญัติป่าไม้ ฐานมีถ่านไม้อันเป็น ของป่าหวงห้ามไว้ในความครอบครอง
ผู้ร้องร้องว่า รถยนต์บรรทุกของกลางเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องมิได้ มีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้สั่งคืนของกลาง ดังกล่าวให้แก่ผู้ร้อง
โจทก์คัดค้านว่า ผู้ร้องจะเป็นเจ้าของรถยนต์หรือไม่โจทก์ไม่รับรอง แต่ผู้ร้องมีส่วนรู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดของจำเลย ขอให้ ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้น มีคำสั่งให้ยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้คืนรถยนต์ของกลางแก่ผู้ร้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่ารถยนต์ของกลางซื้อมาด้วยเงินที่ได้มา ระหว่างสมรสผู้ร้องกับจำเลยที่ ๒ จึงเป็นเจ้าของรถคันดังกล่าวร่วมกัน คนละครึ่ง หาใช่ผู้ร้องเป็นเจ้าของแต่ผู้เดียวไม่ ผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจ ในการกระทำผิดของจำเลย หากแต่จำเลยที่ ๒ นำรถไปใช้ในการกระทำ ความผิดตามลำพัง ดังนั้น รถยนต์ของกลางจึงเป็นของต้องริบกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งให้ตกได้แก่ผู้ร้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ริบรถยนต์ของกลางเพียงกึ่งหนึ่ง นอกจาก ที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์