คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1951/2521

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

สัญญาซึ่งตกลงราคาซื้อขายรถยนต์ไว้ ชำระราคาครั้งแรกและผ่อนชำระต่อไปรายเดือนเท่าๆ กันอีก 24 งวดกำหนดเงื่อนไขกรรมสิทธิ์โอนเมื่อชำระราคาครบถ้วนแล้ว ถ้าผิดเงื่อนไขข้อใด ผู้ขายครอบครองรถได้ทันที ดังนี้เป็นสัญญาเช่าซื้อ

ย่อยาว

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่ารถยนต์บรรทุกของกลางที่ศาลสั่งริบเป็นของผู้ร้องมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิดของจำเลย ให้คืนผู้ร้องโจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า “การที่จะพิจารณาว่าสัญญาระหว่างบริษัทเสียงไพศาล จำกัด กับนายจำลอง สุขสำราญ ตามเอกสารหมาย ร.3 เป็นสัญญาซื้อขายหรือสัญญาเช่าซื้อนั้น จะถือเอาแต่ชื่อของสัญญาเป็นประมาณไม่ได้ จะต้องพิจารณาถึงลักษณะและข้อสัญญาประกอบกับเจตนาของคู่กรณีเป็นสำคัญ คดีนี้ได้ความจากนายไพบูลย์ เพชรเฉลิมโชติ พนักงานขายและเก็บเงินของบริษัทเสียงไพศาล จำกัด นายปิยรัตน์ อาวุธอินทรพิชิต ซึ่งเคยเป็นผู้ช่วยผู้จัดการแผนกขายของบริษัทผู้ร้อง และตัวนายจำลอง สุขสำราญว่า นายจำลอง สุขสำราญ ได้เช่าซื้อรถยนต์ของกลางไปจากบริษัทเสียงไพศาลจำกัด ตามเอกสารหมาย ร.3 และ เอกสารดังกล่าวได้กำหนดราคารถยนต์ที่ตกลงซื้อขายกันเป็นเงิน 78,000 บาท ชำระเงินครั้งแรก 18,000 บาทส่วนที่เหลือผ่อนชำระเป็นงวด ๆ เป็นรายเดือน งวดละ 2,500 บาท รวม 24งวด งวดแรกชำระวันที่ 23 มกราคม 2517 และกำหนดเงื่อนไขตามข้อ 1 ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยนต์ดังกล่าวจะตกเป็นของผู้ซื้อเมื่อได้ชำระเงินตามที่กำหนดไว้ครบถ้วนแล้ว และตามข้อ 6 ยังระบุไว้ว่าหากผู้ซื้อผิดนัดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขใด ๆ ผู้ขายอาจเข้าครอบครองรถยนต์ที่ซื้อขายได้โดยพลัน ดังนี้จึงเห็นว่าสัญญาตามเอกสารหมาย ร.3 มีลักษณะเป็นสัญญาเช่าซื้อ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572 คดีนี้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่า นายจำลอง สุขสำราญ ชำระเงินค่าซื้อรถยนต์ของกลางเพียง 9 งวด ก็นำรถยนต์ไปใช้ในการกระทำความผิด เมื่อนายจำลอง สุขสำราญยังชำระเงินค่ารถยนต์ไม่ครบถ้วนตามสัญญา กรรมสิทธิ์ในรถยนต์จึงยังไม่โอนไปยังนายจำลอง สุขสำราญ รถยนต์ของกลางยังคงเป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ร้อง”

พิพากษายืน

Share