แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์และจำเลยทั้งเก้าต่างเป็นกรรมการสุขาภิบาลด้วยกัน แต่เดิมเมื่อปี 2536 สุขาภิบาลว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดห.ให้ขุดลอกอ่างเก็บน้ำในเขตสุขาภิบาล ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน100,000 บาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะมีเงื่อนไขว่า ในปีต่อไปหากห้างหุ้นส่วนจำกัดห.ประมูลงานจากสุขาภิบาลได้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. ก็จะไม่รับเงินจำนวน 100,000 บาท ตามที่ตกลงจ้าง ต่อมาปี 2537 ห้างหุ้นส่วนจำกัดว. ซึ่งมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับการว่าจ้างในกรณีพิเศษ จากนายอำเภอประธานคณะกรรมการสุขาภิบาล ให้ก่อสร้าง ถนน ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. จึงไม่ได้รับงานทางคณะกรรมการสุขาภิบาลจะต้องจ่ายเงิน 100,000 บาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดห. การที่จำเลยทั้งเก้าเรียกร้องให้โจทก์จ่ายเงิน 100,000 บาท แก่ตน มิฉะนั้นโจทก์จะถูกร้องเรียนกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องโจทก์ก่อสร้างถนนผิดไปจากสัญญา อันเป็นเหตุให้สัญญา ดังกล่าวระงับ และโจทก์ต้องถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาลเมื่อปรากฏว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาทให้จำเลยทั้งเก้าไปโดยกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยทั้งเก้าย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งเก้าใช้สิทธิโดยชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะมีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างถนนอันผิดไปจากสัญญาก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ว่ากล่าวส่วนจำเลยทั้งเก้าเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยหวังผลประโยชน์เป็นที่ตั้งการที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้จำเลยทั้งเก้าโดยกลัวต่อการ ข่มขู่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงเป็น การข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สิน โดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งครบถ้วน ตามองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้ว
ย่อยาว
ขอให้ลงโทษขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้าตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 337
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
จำเลยทั้งเก้าให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าจำเลยทั้งเก้ากระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ คดีได้ความว่าโจทก์และจำเลยทั้งเก้าต่างเป็นกรรมการสุขาภิบาลนาเอือดด้วยกันแต่เดิมเมื่อปี 2536 สุขาภิบาลนาเอือดว่าจ้างห้างหุ้นส่วนจำกัดหุ้นกี่พืชผลให้ขุดลอกอ่างเก็บน้ำในเขตสุขาภิบาล ตกลงค่าจ้างเป็นเงิน 100,000 บาท แต่ยังไม่มีการจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวเพราะมีเงื่อนไขว่าในปีต่อไปหากห้างหุ้นส่วนจำกัดหุ้นกี่พืชผลประมูลงานจากสุขาภิบาลได้ ห้างหุ้นส่วนจำกัดหุ้นกี่พืชผลก็จะไม่รับเงินจำนวน 100,000 บาท ตามที่ตกลงจ้าง ต่อมาปี 2537 ห้างหุ้นส่วนจำกัดวิไลพรศรีเมืองใหม่ซึ่งมีโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการได้รับการว่าจ้างในกรณีพิเศษจากนายอำเภอศรีเมืองใหม่ประธานคณะกรรมการสุขาภิบาลนาเอือด ให้ก่อสร้างถนนสายยูงทอง ห้างหุ้นส่วนจำกัดหุ้นกี่พืชผลจึงไม่ได้รับงานทางคณะกรรมการสุขาภิบาลนาเอือด จะต้องจ่ายเงิน 100,000 บาทให้แก่ห้างหุ้นส่วนจำกัดหุ้นกี่พืชผลฝ่ายจำเลยขอให้โจทก์รับผิดชอบในเงินดังกล่าว เนื่องจากโจทก์เป็นผู้รับเหมางานก่อสร้างถนนสายยูงทองได้ กรณีจึงมีเหตุผลเชื่อได้ว่าเป็นที่มาของคดีนี้ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุหลังจากเลิกประชุมคณะกรรมการสุขาภิบาลนาเอือด แล้วจำเลยทั้งเก้าร่วมกันข่มขู่โจทก์โดยจำเลยที่ 1 พูดว่า งานก่อสร้างถนนยูงทองจะนำไปให้ผู้รับเหมารายอื่น แต่โจทก์เป็นผู้รับเหมาเสียเองจะต้องนำเงินมาให้ 100,000 บาท โจทก์บอกว่างานนี้จ้างโดยวิธีพิเศษจะนำไปให้ผู้รับเหมารายอื่นไม่ได้ จำเลยที่ 2 พูดว่าจะต้องนำเงินมาให้ 100,000 บาท มิฉะนั้นจะร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัด จำเลยที่ 3 พูดว่าจะจ้างโดยวิธีพิเศษอย่างไรก็จะต้องนำเงินมาให้ 100,000 บาท จำเลยที่ 4 พูดว่าจะต้องนำเงินมาให้ 100,000 บาท มิฉะนั้นจะต้องถูกขับออกจากการเป็นคณะกรรมการสุขาภิบาลจำเลยที่ 5 พูดว่าให้โจทก์ลดบทบาทในการรับเหมาก่อสร้าง เพื่อกรรมการอื่นจะได้เห็นใจ จำเลยที่ 6พูดว่าเงิน 100,000 บาท ไม่มากมาย สำหรับโจทก์ จำเลยที่ 7พูดว่าจะต้องนำเงินมาให้ 100,000 บาท เรื่องจะได้จบกันและจะได้ทำงานกันอย่างสบาย จำเลยที่ 8 พูดว่าคิดดูให้ดี ถ้ามีการตรวจสอบงานกันจะต้องถูกระงับสัญญาการก่อสร้างและจำเลยที่ 9 พูดว่าจะต้องนำเงินมาให้จำนวน 100,000 บาท มิฉะนั้นจะต้องถูกร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและถูกระงับสัญญาการก่อสร้างและจะถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาลทั้งโจทก์เบิกความด้วยว่าต่อมาในเดือนเดียวกันฝ่ายจำเลยพูดย้ำเรื่องเงินจำนวน 100,000 บาท ตามที่เรียกร้อง ปรากฏว่าโจทก์ได้จ่ายไป 2 ครั้งครั้งละ 50,000 บาท ด้วยความกลัว ซึ่งโจทก์ได้อัดเทปบันทึกถ้อยคำเจรจาไว้ เห็นว่า พยานหลักฐานของโจทก์บ่งบอกชัดแจ้งว่าจำเลยทั้งเก้าร่วมกันเรียกร้องเงินจำนวน 100,000 บาท จากโจทก์ เนื่องจากโจทก์เป็นผู้รับเหมาสร้างถนนสายยูงทองจากสุขาภิบาลนาเอือด ได้ หากโจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินจำนวนดังกล่าวจะถูกร้องเรียนกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดและถูกระงับสัญญาสร้างถนน ทั้งจะต้องถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาลด้วยซึ่งเมื่อพิจารณาพฤติการณ์แวดล้อมแล้ว พอแปลความหมายได้ว่าจำเลยทั้งเก้าเรียกร้องให้โจทก์จ่ายเงิน 100,000 บาท แก่ตน มิฉะนั้นโจทก์จะถูกร้องเรียนกล่าวหาต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในเรื่องโจทก์ก่อสร้างถนนยูงทองผิดไปจากสัญญา อันเป็นเหตุให้สัญญาดังกล่าวระงับและโจทก์ต้องถูกขับออกจากกรรมการสุขาภิบาลเมื่อปรากฏว่าโจทก์ต้องจ่ายเงินจำนวน 100,000 บาท ให้จำเลยทั้งเก้าไปโดยกลัวต่อการข่มขู่ของจำเลยทั้งเก้าย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งเก้าใช้สิทธิโดยชอบ เพราะแม้ว่าโจทก์จะมีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างถนนยูงทองอันผิดไปจากสัญญา ก็เป็นเรื่องของผู้มีอำนาจหน้าที่ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ว่ากล่าว จำเลยทั้งเก้าเป็นบุคคลภายนอกย่อมไม่มีสิทธิสอดเข้าเกี่ยวข้องโดยหวังผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง การที่โจทก์ต้องจ่ายเงินให้จำเลยทั้งเก้าโดยกลัวต่อการข่มขู่ดังกล่าว การกระทำของจำเลยทั้งเก้าจึงเป็นการข่มขืนใจโจทก์ให้ยอมให้ประโยชน์ในลักษณะที่เป็นทรัพย์สินโดยขู่เข็ญว่าจะทำอันตรายต่อชื่อเสียงของโจทก์ซึ่งครบถ้วนตามองค์ประกอบความผิดฐานกรรโชกแล้วจำเลยทั้งเก้าต้องมีความผิดตามฟ้อง ข้อต่อสู้ของจำเลยทั้งเก้าไม่พอฟังหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
พิพากษากลับ จำเลยทั้งเก้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 337 วรรคหนึ่ง จำคุกจำเลยคนละ 1 ปี และปรับคนละ 5,000 บาท จำเลยทั้งเก้าเป็นกรรมการสุขาภิบาล ไม่ปรากฏว่าเคยกระทำความผิดมาก่อน เห็นสมควรให้โอกาสแก่จำเลยทั้งเก้ากลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไปโทษจำคุกจึงให้รอการลงโทษไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยทั้งเก้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30