คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3340/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

จำเลยอุทธรณ์ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับโดยวินิจฉัยว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งว่าอุทธรณ์ของจำเลยเป็นปัญหาข้อกฎหมายและยื่นคำร้องขอเลื่อนการนำหลักประกันมาวางศาลศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด10วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งและสั่งในคำร้องขอเลื่อนการนำหลักประกันมาวางศาลในทำนองยกคำขอจำเลยอุทธรณ์คำสั่งศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยวินิจฉัยในเนื้อหาของอุทธรณ์ว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามแต่ไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องจำเลยขอขยายกำหนดเวลานำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลเป็นเหตุให้จำเลยฎีกาต่อมาได้แต่เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้นนั้นบางข้อเป็นข้อที่จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้อยู่แล้วข้ออื่นนอกนั้นก็ล้วนแต่เป็นปัญหาข้อเท็จจริงแม้ศาลจะอนุญาตคำขอของจำเลยก็ไม่มีประโยชน์แก่คดีของจำเลยเพราะในที่สุดจะไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามไปได้ศาลฎีกาย่อมพิพากษายืนให้ขยายระยะเวลาให้ตาม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าตึกแถวสองชั้นของโจทก์มีกำหนด 3 ปีค่าเช่าเดือนละ 80 บาท สัญญาเช่าครบกำหนดและบอกเลิกการเช่าแล้วจำเลยไม่ยอมออกไป ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวาร กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 2,000 บาท
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อสัญญาเช่าตึกแถวครบกำหนดแล้ว โจทก์ตกลงให้จำเลยเช่าต่อไปโดยไม่มีกำหนดเวลาค่าเช่าเดือนละ 600 บาท โจทก์ไม่เคยบอกเลิกสัญญา ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากตึกพิพาทให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เดือนละ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับ โดยวินิจฉัยว่าเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยไม่ได้นำเงินมาชำระหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 10 วันนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่ง
จำเลยอุทธรณ์คำสั่ง
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าอุทธรณ์ของจำเลยในเรื่องโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องคดีก็ดีโจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่ากับจำเลยก็ดี ค่าเสียหายที่ศาลชั้นต้นกำหนดให้จำเลยชำระให้โจทก์เกินสมควรก็ดี เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 224 วรรคสอง พิพากษายืน
จำเลยฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกาโดยวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์มีคำสั่งพิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่สั่งไม่รับอุทธรณ์ คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236
จำเลยอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับฎีกา
ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกา แล้ววินิจฉัยว่า “ตามที่จำเลยฎีกาขอให้พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นให้ศาลอุทธรณ์รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งหรือมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ไว้พิจารณาต่อไป นั้นข้อเท็จจริงแห่งคดีฟังได้ว่า เมื่อจำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่าจำเลยอุทธรณ์คำสั่งโดยไม่ได้นำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลภายในกำหนด 10 วัน แนับแต่วันที่ศาลได้มีคำสั่งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234 ไม่รับคำร้อง และปรากฎว่าในวันเดียวกับวันที่จำเลยยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวจำเลยได้ยื่นคำร้องมีใจความว่าขอเลื่อนการนำหลักประกันมาวางศาลต่างหากอีกฉบับหนึ่งด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งในวันเดียวกับวันที่ยื่นคำร้องนั้นว่า สั่งในคำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยแล้วที่สาลฎีกาเห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นที่ไม่ส่งอุทธรณ์ไปยังศาลอุทธรณ์โดยวินิจฉัยในเนื้อหาของอุทธรณ์ว่า อุทธรณ์ของจำเลยต้องห้ามอุทธรณ์ไม่ได้วินิจฉัยเกี่ยวกับเรื่องจำเลยขอขยายกำหนดเวลานำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันให้ไว้ต่อศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 234 เป็นเหตุให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นเช่นนี้ ยังไม่ถึงที่สุด ไม่ต้องห้ามฎีกา นั้น เมื่อพิเคราะห์ถึงพฤติการณ์แห่งคดีปรากฎว่า ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับคำร้องอุทธรณ์คำสั่งนั้นเอง ศาลชั้นต้นได้มีคำสั่งคำร้องขอเลื่อนการนำหลักประกันมาวางศาลว่า สั่งในคำร้องอุทธรณ์คำสั่งแล้วคำสั่งของศาลชั้นต้นเช่นนี้ย่อมแปลความหมายได้ว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำขอหรือไม่อนุญาตให้จำเลยขยายกำหนดนำเงินมาชำระตามคำพิพากษาหรือหาประกันแล้ว และที่สำคัญเห็นว่าอุทธรณ์ของจำเลยที่อุทธรณ์ว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของที่ดินที่ปลูกตึกพิพาทโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง นั้น สำหรับปัญหานี้ปรากฎว่าจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ตลอดทั้งไม่ได้ให้การปฏิเสธว่า โจทก์ไม่ใช่เจ้าของตึกพิพาท จึงเป็นข้อที่มิได้ยกเป็นประเด็นโต้เถียงไว้แต่ศาลชั้นต้น กรณีเป็นเรื่องของจำเลยโดยเฉพาะไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจะยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์ไม่ได้อยู่แล้ว อุทธรณ์ของจำเลยในปัญหานี้จึงเป็นข้อกฎหมายที่ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย ส่วนอุทธรณ์ของจำเลยนอกนั้นล้วนแต่เป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงทั้งสิ้นดังนั้นแม้ศาลจะอนุญาตขยายเวลาชำระเงินตามคำพิพากษาหรือนุญาตให้หาประกันตามคำขอของจำเลย เพื่อให้คำร้องอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 234ก็ไม่มีประโยชน์อันใดอันจะพึงเกิดแก่คดีของจำเลย เพราะในที่สุดจะไม่ทำให้อุทธรณ์ของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ต้องห้ามอุทธรณ์แต่อย่างใด ด้วยเหตุผลตามที่ได้วินิจฉัยมา ศาลฎีกาจึงเห้นพ้องด้วยในผลของคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 1,000 บาทแทนโจทก์.

Share