แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ภายหลังจากวีดีโอเทปของผู้เสียหายได้หายไปแล้ว ทางสืบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทปดังกล่าว พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลยก็เนื่องจากได้ข้อเท็จจริงว่า จำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทป แต่การที่จำเลยมีวีดีโอเทปไว้ในครอบครองอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้สอบสวนถึงการกระทำนั้นของจำเลยแล้ว ทั้งการแจ้งข้อหาแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 นั้น หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมจะตั้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนไปแล้ว ปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้นแม้ชั้นแรกพนักงานสอบสวนจะตั้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลย แต่เมื่อสอบสวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว พนักงานอัยการโจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยน่าจะเป็นความผิดฐานรับของโจรและฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย ก็ถือว่าได้มีการสอบสวนความผิดฐานรับของโจรตามมาตรา 120 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า ได้มีคนร้ายเข้าไปในบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของนางฉลวย ฝนหว่านไฟ ผู้เสียหายโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุอันสมควร แล้วลักเอาวีดีโอเทป 1 เครื่องราคา 7,500 บาท ของผู้เสียหายไปโดยทุจริต ต่อมาจำเลยได้ครอบครองวีดีโอเทปของผู้เสียหายที่ถูกลักไปดังกล่าว หลังจากนั้นเจ้าพนักงานจับจำเลยได้ ทั้งนี้จำเลยได้เป็นคนร้ายลักเอาวีดีโอเทปของผู้เสียหายไปโดยทุจริต หรือมิฉะนั้น จำเลยได้รับเอาไว้ ช่วยซ่อนเร้น ช่วยจำหน่าย ช่วยพาเอาไปเสียซึ่งวีดีโอเทปดังกล่าวไว้จากคนร้ายโดยรู้อยู่ว่าเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 357และให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงินจำนวน 7,500 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 357 ลงโทษจำคุก 3 ปี คำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา กรณีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสาม คงจำคุกจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงินจำนวน 7,500 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้ในชั้นจับกุมจำเลยและแจ้งข้อหาแก่จำเลยนั้นพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเฉพาะความผิดฐานลักทรัพย์ มิได้แจ้งข้อหาความผิดฐานรับของโจรแก่จำเลย แต่เมื่อสอบสวนจนเสร็จสิ้นแล้วโจทก์เห็นว่ากระทำของจำเลยตามที่สอบสวนมานั้นเป็นความผิดฐานรับของโจรและฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรมาด้วย ดังนี้จะถือว่าพนักงานสอบสวนได้ทำการสอบสวนความผิดฐานรับของโจรด้วยแล้วหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ได้ความว่าภายหลังจากวีดีโอเทปของผู้เสียหายได้หายจากบ้านอันเป็นเคหสถานที่อยู่อาศัยของผู้เสียหายไปแล้ว ทางสืบสวนของเจ้าพนักงานตำรวจทราบว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทปของผู้เสียหายดังกล่าว เหตุที่พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลย ก็เนื่องจากได้ข้อเท็จจริงว่าจำเลยเป็นผู้ครอบครองวีดีโอเทปของผู้เสียหายที่ถูกลักไป การที่จำเลยมีวีดีโอเทปของผู้เสียหายซึ่งถูกลักไปดังกล่าวไว้ในครอบครองจึงอาจเป็นความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจรอย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้ ซึ่งพนักงานสอบสวนก็ได้สอบสวนถึงการกระทำนั้นของจำเลยแล้ว ทั้งการแจ้งข้อหาแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 134 นั้น หาได้หมายความว่าพนักงานสอบสวนจะต้องแจ้งข้อหาทุกกระทงความผิดไม่ แม้เดิมจะตั้งข้อหาหนึ่งแต่เมื่อสอบสวนไปแล้วปรากฏว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานอื่นด้วย ก็เรียกว่าได้มีการสอบสวนในความผิดดังกล่าวด้วยแล้ว ดังนั้นกรณีของจำเลยแม้ชั้นแรกพนักงานสอบสวนจะตั้งข้อหาลักทรัพย์แก่จำเลยแต่เมื่อสอบสวนพยานหลักฐานเสร็จสิ้นแล้ว โจทก์เห็นว่าการกระทำของจำเลยน่าจะเป็นความผิดฐานรับของโจรและฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจรด้วย ถือว่าได้มีการสอบสวนความผิดฐานรับของโจรตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 120 แล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยในข้อหาความผิดฐานรับของโจร ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากศาลอุทธรณ์ภาค 1 ยังมิได้วินิจฉัยในประเด็นตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า จำเลยกระทำผิดฐานรับของโจรหรือไม่จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยปัญหาดังกล่าวเสียก่อน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี