คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 337/2535

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ไม้ขบดง ซึ่งขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ผู้เสียหายครอบครองทำประโยชน์อยู่ ย่อมเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้เสียหาย แต่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของผู้เสียหายถูกจำเลยตัดและนำไปแปรรูปเป็นไม้ของกลาง ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญ ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 192 วรรคสอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า มีคนร้ายลักตัดไม้ขบดง จำนวน 1 ต้น ราคา 1,030 บาทของนายไข่แดง ทิพย์เพ็ง ผู้เสียหาย ซึ่งปลูกอยู่ในสวนยางของผู้เสียหายไปโดยทุจริต หลังจากเกิดเหตุจำเลยได้ครอบครองไม้ขบดงแปรรูปจำนวน 4 แผ่น ซึ่งแปรรูปมาจากไม้ขบดง ของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไป ทั้งนี้โดยจำเลยเป็นคนร้ายลักตัดไม้ขบดง ไปโดยทุจริตหรือมิฉะนั้น จำเลยได้รับของโจร ช่วยซ่อนเร้นช่วยพาเอาไปเสียรับไว้ในความครอบครองซึ่งไม้ขบดง แปรรูปจำนวน 4 แผ่น ซึ่งแปรรูปมาจากไม้ขบดง ของผู้เสียหายที่ถูกลักไป โดยจำเลยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทรัพย์ที่คนร้ายได้มาโดยการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์เจ้าพนักงานยึดไม้ขบดง แปรรูปของผู้เสียหายที่ถูกคนร้ายลักไปเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334, 357 และสั่งคืนของกลางแก่เจ้าของ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 334 ให้ลงโทษจำคุกมีกำหนด 2 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลย 1 ปี 4 เดือนของกลางคืนเจ้าของ ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก ศาลอุทธรณ์ภาค 3พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยคู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านว่า จำเลยตัดไม้ขบดง ซึ่งขึ้นอยู่เองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่ผู้เสียหายครอบครองทำประโยชน์อยู่และนำไปแปรรูปเป็นไม้ของกลาง มีปัญหาวินิจฉัยชั้นฎีกาว่า จำเลยกระทำผิดฐานลักทรัพย์หรือไม่ เห็นว่า ไม้ขบดง ของกลางขึ้นเองตามธรรมชาติในเขตป่าสงวนแห่งชาติ ย่อมเป็นของรัฐไม่ใช่ของผู้เสียหายแต่โจทก์ฟ้องว่าเป็นของผู้เสียหาย ข้อเท็จจริงในทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องในข้อสาระสำคัญต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง ไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของโจทก์อีกต่อไป ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ชอบแล้ว”
พิพากษายืน ไม้ของกลางให้คืนแก่เจ้าของ

Share