คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3251/2533

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ที่มีสิทธิครอบครองที่ดิน หากยังไม่ได้จดทะเบียนการได้มาย่อมไม่อาจยกสิทธินั้นขึ้นเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้วได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาท โดยการรับซื้อฝากจากนายตี๋กับนางสงวน สุขเกษม ครบกำหนดแล้ว นายตี๋กับนางสงวนไม่ไถ่คืน จำเลยทั้งสองเป็นสามีภรรยากันได้ปลูกบ้านเลขที่ ๓๓ อยู่ในที่ดินดังกล่าว โดยอาศัยสิทธิของนายตี๋กับนางสงวน โจทก์ได้แจ้งให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านดังกล่าวแล้วจำเลยทั้งสองไม่ยอมรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์ ทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเลขที่ ๓๓ ออกไปจากที่ดินของโจทก์ และชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ด้วย
จำเลยทั้งสองให้การว่า เดิมที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของนางแพ เปี่ยมฤดี กับนางสงวน สุขเกษม นางแพเป็นย่าของจำเลยที่ ๒นางแพให้นายกรุ่นซึ่งเป็นบิดาจำเลยที่ ๒ ปลูกบ้านอยู่ในที่ดินแปลงนี้ เมื่อประมาณ ๒๐ ปีมาแล้วนายกรุ่นถึงแก่กรรม จำเลยทั้งสองอยู่ในบ้านหลังนี้ตลอดมา เมื่อประมาณ ๑๕ ปี มาแล้วนางแพถึงแก่กรรม แต่ก่อนถึงแก่กรรมนางแพยกที่ดินให้จำเลยที่ ๒ กับนางสงวน จำเลยที่ ๒จึงครอบครองที่ดินมาโดยนางสงวนเป็นผู้เก็บรักษาโฉนด ภายหลังนางสงวนลอบนำเอาโฉนดไปขอรับมรดกแต่ผู้เดียว แล้วนำไปขายฝากให้โจทก์จนหลุดเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ การจดทะเบียนรับซื้อฝากของโจทก์กระทำโดยไม่สุจริต นางสงวนไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนได้ของจำเลยที่ ๒ ไปขายฝากให้โจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านเรือนเลขที่ ๓๓ออกไปจากที่ดินพิพาท ห้ามจำเลยทั้งสองเข้าเกี่ยวข้อง ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ ๔๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกไปจากที่ดินพิพาท
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยทั้งสองฎีกาข้อต่อไปว่า จำเลยที่ ๒มีกรรมสิทธิ์รวมอยู่ในที่ดินพิพาทโดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ เป็นบุตรนายกรุ่น นายกรุ่นเป็นบุตรนางแพได้ถึงแก่กรรมก่อนนางแพ จำเลยที่ ๒จึงเป็นผู้รับมรดกแทนที่ในที่ดินส่วนของนางแพนั้น เห็นว่า ตามสารบัญจดทะเบียนในโฉนดเอกสารหมาย จ.๓ ปรากฏว่าภายหลังนายแพถึงแก่กรรมแล้วนางสงวนกับนายเด่นชัย ตั้งใจพัฒนา เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมกับนางแพได้ไปจดทะเบียนรับโอนมรดกที่ดินส่วนของนางแพเป็นของบุคคลทั้งสองจำนวนเนื้อที่ ๒ ไร่ ต่อมามีการตัดแบ่งเป็นที่สาธารณประโยชน์๑๒ ตารางวา คงเหลือที่ดิน ๑ ไร่ ๘๘ ตารางวา และมีการแบ่งแยกเป็นสัดส่วนโดยนายเด่นชัยได้ที่ดิน ๖๒ ตารางวา นางสงวนได้ที่ดิน ๑ ไร่๒๖ ตารางวา จำเลยที่ ๒ หาได้มีส่วนในการรับมรดกของนางแพแต่อย่างใดไม่ ฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ ๒ เป็นผู้รับมรดกแทนที่ในที่ดินของนางแพคงฟังได้เพียงว่า จำเลยทั้งสองมีสิทธิครอบครองในบ้านเลขที่ ๓๓ และที่ดินส่วนที่ปลูกบ้านดังกล่าว สิทธินั้นยังไม่ได้จดทะเบียนจำเลยทั้งสองจึงไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้โจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกผู้ได้สิทธิมาโดยเสียค่าตอบแทนและโดยสุจริต และได้จดทะเบียนสิทธิโดยสุจริตแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๒๙๙ วรรคสองฎีกาจำเลยทั้งสองข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share