คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 69/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยทำสัญญาขายฝากที่ดินและบ้านกันจริง ๆแม้ภายหลังการทำสัญญาขายฝาก จำเลยยังคงครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทต่อไปโดยไม่ได้มอบการครอบครองแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ก็ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่านิติกรรมระหว่างโจทก์ที่ 2 กับจำเลยเป็นนิติกรรมอำพราง ดังนั้นเมื่อครบกำหนดเวลาไถ่แล้ว โดยจำเลยไม่ขอไถ่ภายในกำหนด การที่โจทก์ร่วมที่ 2 ผู้รับซื้อฝากขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 โดยสุจริต กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทย่อมเป็นของโจทก์และโจทก์ร่วม โจทก์จึงมีสิทธิขับไล่จำเลยได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในที่ดินโฉนดเลขที่ 24927 ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมาเนื้อที่ 56 ตารางวา พร้อมสิ่งปลูกสร้างคือบ้านเลขที่ 205/2 จำเลยอาศัยอยู่ในบ้านดังกล่าว โจทก์แจ้งให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไป แต่จำเลยและบริวารเพิกเฉย ทำให้โจทก์เสียหายเพราะหากโจทก์นำบ้านดังกล่าวออกให้ผู้อื่นเช่า จะได้ค่าเช่าเดือนละ 500 บาทขอให้บังคับให้จำเลยและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากบ้านเลขที่ 205/2ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา และห้ามเกี่ยวข้องอีก กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เดือนละ 500 บาทนับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกไปจากบ้านโจทก์
จำเลยขอให้เรียกนางสมจิต กระบวนรัตน์ กับนายใจ พิมพ์พิสารเข้ามาเป็นโจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาต และให้เรียกนางสมจิตกระบวนรัตน์ ว่าโจทก์ร่วมที่ 1 นายใจ พิมพ์พิสาร ว่าโจทก์ร่วมที่ 2
จำเลยให้การและฟ้องแย้ง กับแก้ไขคำให้การและฟ้องแย้งว่าที่ดินและบ้านพิพาทเป็นของจำเลย เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2526จำเลยไปติดต่อขอกู้ยืมเงิน 30,000 บาทจากโจทก์ร่วมที่ 1 ซึ่งเป็นภรรยาของโจทก์ โจทก์ร่วมที่ 1 นำจำเลยไปขอกู้ยืมเงินจากโจทก์ร่วมที่ 2 แทน โจทก์ร่วมที่ 2 ตกลงให้จำเลยกู้เงิน 30,000 บาท โดยคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือน โจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยตกลงว่าในการกู้ยืมเงินดังกล่าวจำเลยต้องนำที่ดินและบ้านพิพาทของจำเลยจดทะเบียนขายฝากอำพรางไว้แทนการทำสัญญากู้ยืมเงิน ทั้งนี้เพื่อเป็นประกันการชำระเงินคืนเท่านั้นโดยโจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยหาได้มีเจตนาที่จะให้เป็นไปตามสัญญาขายฝากดังกล่าวไม่จำเลยได้จดทะเบียนขายฝากที่ดินและบ้านให้โจทก์ร่วมที่ 2 เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคมพ.ศ. 2526 โดยจำนวนเงินขายฝากได้คิดดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อเดือนเป็นเวลา 1 ปี จากต้นเงิน 30,000 บาท รวมเป็นเงินต้นและดอกเบี้ย48,000 บาท จำเลยมิได้ส่งมอบการครอบครองบ้านให้โจทก์ร่วมที่ 2 แต่อย่างใด จำเลยครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทตลอดมาจนถึงปัจจุบันต่อมาประมาณเดือนกันยายน 2527 จำเลยติดต่อขอชำระเงินกู้ยืมจำนวน48,000 บาท ให้โจทก์ร่วมที่ 2 และขอให้โจทก์ร่วมที่ 2 จัดการจดทะเบียนโอนที่ดินและบ้านพิพาทคืนแก่จำเลย แต่โจทก์ร่วมที่ 2ผัดผ่อนเรื่อยมา จนกระทั่งวันที่ 16 เมษายน 2528 จำเลยได้รับหนังสือบอกกล่าวจากทนายโจทก์ให้จำเลยออกจากที่ดินและบ้านพิพาทจึงทราบว่าโจทก์ร่วมที่ 2 ได้ขายที่ดินและบ้านพิพาทแก่โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2527 ทั้ง ๆ ที่โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 ทราบดีถึงข้อตกลงของโจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลย จึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตและเป็นการร่วมกันฉ้อฉลจำเลย โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ขอให้ยกฟ้องและขอให้พิพากษาเพิกถอนการจดทะเบียนการซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมที่ 2 ผู้ขาย กับโจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 ผู้ซื้อ
โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 ให้การแก้ฟ้องแย้งทำนองเดียวกันว่าโจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 ไม่ทราบว่าการขายฝากระหว่างจำเลยกับโจทก์ร่วมที่ 2 มีข้อตกลงกันอย่างใด โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 ได้รับซื้อที่ดินและบ้านพิพาทไว้โดยสุจริตและเสียค่าตอบแทนทั้งได้จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิขอเพิกถอนการจดทะเบียนการซื้อขายดังกล่าว ขอให้ยกฟ้อง
โจทก์ร่วมที่ 2 ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยเป็นการจดทะเบียนขายฝากถูกต้องตามกฎหมายโดยมีเจตนาขายฝากกันตามกฎหมาย โจทก์ร่วมที่ 2ไม่เคยตกลงกับจำเลยที่จะทำการขายฝากแทนทำสัญญากู้แต่อย่างใดการที่จำเลยยังคงครอบครองที่ดินอยู่เพราะจำเลยไม่มีที่อยู่และขออยู่ไปก่อนจนกว่าจะพ้นเวลาขอไถ่ ต่อมาเมื่อพ้นกำหนดเวลาไถ่แล้วโจทก์ร่วมที่ 2 ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1ซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 รับซื้อไว้โดยสุจริตและจดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยไม่มีสิทธิขอเพิกถอนการขายฝากระหว่างจำเลยกับโจทก์ร่วมที่ 2 ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยกับบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบ้านเลขที่ 205/2 หมู่ที่ 3 ตำบลจอหอ อำเภอเมืองนครราชสีมาจังหวัดนครราชสีมา และห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไปกับให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ 500 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยและบริวารจะออกจากบ้านดังกล่าว ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลย
จำเลยอุทธรณ์โดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ที่จำเลยฎีกาว่า สัญญาขายฝากระหว่างโจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้ยืมเงิน การซื้อขายที่ดินและบ้านพิพาทระหว่างโจทก์ร่วมที่ 2กับโจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 เป็นการไม่สุจริต โดยทำการซื้อขายเพื่อฉ้อฉลจำเลย กรรมสิทธิ์ที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นของจำเลย โจทก์ไม่มีสิทธิขับไล่จำเลยนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ร่วมที่ 2 จำเลยได้จดทะเบียนสัญญาขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทไว้ตามเอกสารหมาย จ.6หรือ ล.2 ที่จำเลยนำสืบว่าสัญญาขายฝากระหว่างโจทก์ร่วมที่ 2กับจำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางสัญญากู้นั้น ก็มีเพียงตัวจำเลยเบิกความลอย ๆ ทั้งก่อนที่จะมีการทำสัญญาขายฝากกันนั้น ข้อเท็จจริงก็ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยและนางสาวจีรพรรณ เจริญพันธ์พยานจำเลยประกอบกับเอกสารหมาย จ.1 ว่า จำเลยเคยขายฝากที่ดินพิพาทกับบุคคลอื่นมาก่อนแล้ว จำเลยเข้าใจเรื่องการขายฝากตลอดจนการไถ่ถอนการขายฝากเป็นอย่างดี การที่จำเลยทำสัญญาขายฝากกับโจทก์ร่วมที่ 2 ก็เพื่อจะได้นำเงินไปไถ่ถอนการขายฝากที่ดินพิพาทจากนางสาวจีรพรรณ เจริญพันธ์ ผู้รับซื้อฝากคนก่อนและนำเงินอีกส่วนหนึ่งไปใช้ ตอนที่จำเลยไปขอกู้เงินจากโจทก์ร่วมที่ 2โจทก์ร่วมที่ 2 ก็บอกกับจำเลยว่าจำเลยจะต้องนำที่ดินพิพาทมาจดทะเบียนขายฝากไว้ หลังจากที่ทำสัญญาขายฝากกันแล้วข้อเท็จจริงก็ได้ความจากคำเบิกความของจำเลยตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่าก่อนสัญญาครบกำหนดจำเลยไม่เคยนำดอกเบี้ยไปชำระให้แก่โจทก์ร่วมที่ 2 พยานจำเลยจึงไม่มีน้ำหนักให้น่าเชื่อถือ แม้ภายหลังการทำสัญญาขายฝากจำเลยยังคงครอบครองที่ดินและบ้านพิพาทต่อไปโดยไม่ได้มอบการครอบครองแก่โจทก์ร่วมที่ 2 ก็ไม่ใช่ข้อบ่งชี้ว่านิติกรรมระหว่างโจทก์ร่วมที่ 2 กับจำเลยเป็นนิติกรรมอำพรางตามที่กล่าวอ้างไม่ส่วนพยานหลักฐานของโจทก์นั้น โจทก์ร่วมที่ 2 เบิกความยืนยันว่าหากจำเลยไม่นำที่ดินมาขายฝาก โจทก์ร่วมที่ 2 ก็จะไม่ให้จำเลยกู้เงินขณะจดทะเบียนการขายฝาก จำเลยก็เบิกความเจือสมว่าไม่ได้มีการพูดกันถึงเรื่องการขายฝากเป็นการอำพรางสัญญากู้เงิน ข้อเท็จจริงจึงน่าเชื่อว่าจำเลยได้ขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทกับโจทก์ร่วมที่ 2ไม่ได้อำพรางนิติกรรมการกู้ยืมแต่อย่างใด พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักดีกว่าจำเลย ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า โจทก์ร่วมที่ 2กับจำเลยได้ทำสัญญาขายฝากที่ดินและบ้านพิพาทกันจริง ๆ สัญญาขายฝากดังกล่าวจึงไม่ใช่นิติกรรมอำพรางการที่โจทก์ร่วมที่ 2ขายที่ดินและบ้านพิพาทให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมที่ 1 จึงเป็นไปโดยสุจริต กรรมสิทธิ์ในที่ดินและบ้านพิพาทจึงเป็นของโจทก์และโจทก์ร่วม โจทก์จึงมีสิทธิขับไล่จำเลยได้ ที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์ไม่เสียค่าธรรมเนียมให้ถูกต้อง เป็นการไม่ชอบ คำพิพากษาไม่มีผลบังคับได้ตามกฎหมายนั้น ปรากฏว่า โจทก์ได้เสียค่าขึ้นศาลครบถ้วนตามจำนวนทุนทรัพย์แล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน.

Share