คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 602/2533

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย มีหน้าที่จำหน่ายตั๋วรถโดยสารและเก็บเงินค่าธรรมเนียมมอบให้จำเลยทุกวันโดยนำเงินฝากเข้าบัญชีธนาคารตามระเบียบของจำเลย การที่โจทก์นำเงินของจำเลยจำนวน 2,512 บาทเข้าฝากธนาคารล่าช้าไปหนึ่งวันย่อมถือเป็นการทำงานล่าช้าหรือผิดพลาดเล็กน้อย จำเลยอาจได้รับความเสียหายบ้างก็เพียงที่ขาดประโยชน์จากดอกเบี้ยของธนาคารเพียงเล็กน้อย พฤติการณ์แห่งคดีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3)จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้โจทก์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลย ตำแหน่งพนักงานปล่อยรถประจำสถานีเดินรถชลบุรี เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2529 จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานโดยอ้างว่า โจทก์นำส่งเงินรายได้ของสถานีเดินรถชลบุรีล่าช้าไม่เป็นไปตามระเบียบ อันเป็นการกระทำผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์อันมิควรได้อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ ซึ่งไม่เป็นความจริง ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างเดิมหากไม่สามารถรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ก็ให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน483,300 บาท และจ่ายค่าชดเชยเป็นเงิน 24,150 บาท แก่โจทก์จำเลยให้การว่า โจทก์มีหน้าที่จำหน่ายตั๋วรถโดยสารพร้อมกับเก็บเงินค่าธรรมเนียมรถโดยสารเอกชนที่เข้าวิ่งร่วมเส้นทางกับจำเลย แล้วจะต้องนำเงินรายได้ของจำเลยดังกล่าวทั้งหมดส่งมอบให้จำเลยทุกวันโจทก์ได้รับเงินจากการจำหน่ายตั๋วรถโดยสารและเก็บค่าธรรมเนียมรถโดยสารเอกชนอันเป็นรายได้และผลประโยชน์ของจำเลยประจำสถานีเดินรถชลบุรีจำนวนรวม 10,837 บาทไว้ในความครอบครองแล้ว โจทก์ไม่นำเงินรายได้ดังกล่าวส่งเงินเข้าบัญชีธนาคารภายในกำหนดเวลาตามระเบียบของจำเลยและในทางปฏิบัติตามปกติของโจทก์ ซึ่งถือว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้ตนเองได้รับประโยชน์ที่มิควรได้ อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่และเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง จำเลยจึงมีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์โดยไล่โจทก์ออกจากงาน การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างที่เป็นธรรม ขอให้ยกฟ้องศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยชำระค่าชดเชยจำนวน 23,910 บาทแก่โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “จำเลยอุทธรณ์ว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยในเรื่องการนำส่งเงินรายได้ของจำเลยนำฝากธนาคารตามกำหนด มีผลกระทบเกี่ยวกับการบริหารด้านการเงินและผลประโยชน์ของจำเลย จึงเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานอันเป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์นั้น กรณีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย โดยไม่นำเงินค่าธรรมเนียมรถร่วมและค่าตั๋วรถโดยสารประจำทางเข้าฝากธนาคารในวันรุ่งขึ้นแต่ข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบมามิได้ส่อแสดงว่าโจทก์มีพฤติการณ์ทุจริต คงฟังได้ว่า เงินซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของโจทก์นำฝากธนาคารล่าช้า ฝ่าฝืนระเบียบมีจำนวนไม่มากนัก โดยมีจำนวนเพียง2,512 บาท และโจทก์ได้นำเงินจำนวนดังกล่าวฝากธนาคารล่าช้ากว่าระเบียบเกี่ยวกับการทำงานเพียงหนึ่งวันเท่านั้น ดังนั้นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ดังกล่าวจึงมิใช่เป็นกรณีร้ายแรงไม่ปรากฏว่าจำเลยได้ตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือแล้ว จำเลยไล่โจทก์ออกจากงานจึงต้องจ่ายค่าชดเชย พิเคราะห์แล้วเห็นว่าเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานของโจทก์ได้กระทำโดยส่อเจตนาทุจริต การที่โจทก์นำเงินจำนวน 2,512 บาท เข้าฝากธนาคารล่าช้าไปหนึ่งวันย่อมถือว่าเป็นการทำงานล่าช้าหรือผิดพลาดเล็กน้อยแม้เป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานด้านการเงินและมีผลกระทบต่อผลประโยชน์ของจำเลย แต่โจทก์ก็ได้นำเงินของจำเลยเข้าฝากธนาคารโดยครบถ้วนในวันรุ่งขึ้น ไม่ได้ทำให้เงินของจำเลยสูญหายไปแต่อย่างใด จำเลยอาจจะได้รับความเสียหายบ้างก็เพียงที่ขาดประโยชน์จากดอกเบี้ยของธนาคารเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ตามพฤติการณ์แห่งคดีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการฝ่าฝืนระเบียบเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรงจำเลยจะเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยต่อเมื่อได้เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือมาก่อนตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการคุ้มครองแรงงาน ข้อ 47(3) เมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เคยตักเตือนเป็นหนังสือมาก่อน จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์คำพิพากษาศาลแรงงานกลางชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share