คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1112/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยทำกับผู้เอาประกันภัยระบุว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัย จำเลยเป็นผู้เอา ประกันภัย โดยมี ง. บุคคลภายนอกเป็นผู้รับประโยชน์เป็นการทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ง. จะมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ต่อเมื่อ ง. ได้แสดงเจตนาขอเข้ารับประโยชน์จากสัญญาประกันภัยต่อโจทก์ ตามป.พ.พ. มาตรา 374 มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์แล้วจะทำให้ ง. มีสิทธิได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยทันที
ตามคำฟ้องของโจทก์ไม่ได้ความว่า ง. ได้แสดงเจตนาต่อโจทก์เพื่อเข้าเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ ประกันภัย ก่อนที่โจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่จำเลย ดังนั้น ง. จึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ตามกรมธรรม์ประกันภัย เมื่อสิทธิของผู้รับประโยชน์ยังไม่บริบูรณ์ตามกฎหมาย จำเลยในฐานะคู่สัญญาประกันภัยกับโจทก์ย่อมเป็น ผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยตามป.พ.พ. มาตรา 861 การที่จำเลยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์จึงเป็นการรับไว้โดยชอบด้วยกฎหมาย มิใช่เป็นลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 406

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๒๓๐,๓๒๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๒๑๖,๔๖๙ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเอาประกันภัยโรงงานและทรัพย์สินตามฟ้องจริง เมื่อโรงงานและทรัพย์สินเกิดความ เสียหาย จำเลยจึงเรียกร้องให้โจทก์รับผิดตามสัญญาประกันภัยซึ่งโจทก์มีหน้าที่ทำการซ่อมแซมทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพเดิม แต่โจทก์ให้จำเลยทำการซ่อมแซมทรัพย์สินที่เอาประกันภัยเป็นเงิน ๒๑๖,๔๖๙ บาท เมื่อจำเลยรับเงินดังกล่าวจากโจทก์ตามเงื่อนไขแล้ว จึงไม่เป็นลาภมิควรได้ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมไม่มีสิทธิรับเงินค่าเสียหายจากทรัพย์สินที่เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลย โจทก์ไม่มีความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมแต่ประการใด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สัญญาประกันภัยมีผู้เกี่ยวข้อง ๓ ฝ่าย คือโจทก์ผู้รับประกันภัยที่จะใช้ค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เกิดวินาศภัยขึ้น จำเลยผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นฝ่ายที่จะส่งเบี้ยประกันภัย และบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมผู้รับประโยชน์อันเป็นฝ่ายจะได้รับค่าสินไหมทดแทนในกรณีที่เกิดวินาศภัย ดังนั้น เมื่อเกิดวินาศภัยและเป็นภัยตามเงื่อนไขที่โจทก์จะต้องใช้เงินตามกรมธรรม์ ผู้ที่จะมีสิทธิรับผลประโยชน์คือ บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ขนาดย่อมไม่ใช่จำเลย การที่จำเลยรับเงินจากโจทก์โดยจำเลยมิได้เป็นผู้รับประโยชน์จึงเป็นการได้เงินมาโดยปราศจากมูลหนี้ จำเลยต้องคืนเงินให้แก่โจทก์ พิพากษาให้จำเลยชำระเงินจำนวน ๒๑๖,๔๖๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๕๔๑ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง ไม่เกิน ๑๓,๘๖๐ บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยได้ความว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยตัวอาคารโรงงาน ทรัพย์สินภายในอาคาร เครื่องตกแต่งติดตั้งตรึงตรา ตลอดจนสต็อกสินค้า ถ่านโค๊กวัตถุดิบที่ใช้ในการผลิตสินค้า เครื่องจักรอุปกรณ์และเครื่องมือต่าง ๆ ของจำเลยในวงเงิน ๓๔,๐๐๐,๐๐๐ บาท มีกำหนดระยะเวลาประกันภัย ๑ ปี เริ่มวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๐ เวลา ๑๖ นาฬิกา สิ้นสุดวันที่ ๒๓ มิถุนายน ๒๕๔๑ เวลา ๑๖ นาฬิกา ต่อมาเมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๑ เกิดลมพายุเป็นเหตุทำให้หลังคากระเบื้องอาคารโรงงานและทรัพย์สินที่อยู่ภายในอาคารของจำเลยเสียหาย ซึ่งได้มีการตรวจสอบความเสียหายกันแล้วในวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๔๑ โจทก์จึงจ่ายค่าเสียหายให้จำเลยไปเป็นเงิน ๒๑๖,๔๖๙ บาท แต่ภายหลังโจทก์ตรวจพบว่าตามกรมธรรม์ประกันภัยที่ทำไว้กับจำเลยนั้นได้ระบุให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ โจทก์จึงมีหนังสือทวงถามให้จำเลยคืนเงินดังกล่าว แต่จำเลยไม่ยอมคืนให้
มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า จำเลยต้องคืนเงินค่าสินไหมทดแทนจำนวน ๒๑๖,๔๖๙ บาท ที่โจทก์จ่ายให้จำเลยไว้แล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยในฐานลาภมิควรได้หรือไม่ เห็นว่า สัญญาประกันภัยที่ผู้รับประกันภัยและ ผู้เอาประกันภัยได้ทำกันไว้นั้น หากไม่ได้ระบุผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยกันไว้ ผู้เอาประกันภัยก็คือ ผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้รับประกันภัยเพื่อความเสียหายใด ๆ ที่เกิดแก่ทรัพย์ที่เอาประกันภัยไว้ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัยที่กำหนดไว้นั่นเอง กรมธรรม์ประกันภัยนอกจากจะมีโจทก์ผู้รับประกันภัย และจำเลยผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นสัญญาประกันภัยแล้ว ยังระบุชื่อบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็น ผู้รับประโยชน์ไว้ด้วย ซึ่งผู้รับประโยชน์ดังกล่าวนี้หาต้องเป็นผู้มีส่วนได้เสียในทรัพย์สินที่ผู้รับประกันภัย และผู้เอาประกันภัยทำสัญญาประกันภัยไว้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๓ ไม่ การที่กรมธรรม์ ประกันภัยระบุให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ไว้เช่นนี้เป็นลักษณะที่โจทก์ผู้รับ ประกันภัยและจำเลยผู้เอาประกันภัยตกลงกันทำสัญญาเพื่อประโยชน์แก่บุคคลภายนอก ซึ่งบรรษัทเงินทุน อุตสาหกรรมขนาดย่อมบุคคลภายนอกจะมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนหากเกิดวินาศภัยแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยไว้ในฐานะเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย โดยที่จำเลยผู้เอาประกันภัยไม่มีสิทธิจะได้รับค่าสินไหม ทดแทนดังกล่าว หากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้แสดงเจตนาว่าจะมาขอเข้ารับประโยชน์จากสัญญา ประกันภัยต่อโจทก์ ผู้ต้องรับผิดในมูลหนี้ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๓๗๔ มิใช่เพียงแต่มีชื่อเป็นผู้รับประโยชน์ในกรมธรรม์ประกันภัยแล้วจะทำให้บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรม ขนาดย่อมมีสิทธิได้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยทันที ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ก็ไม่ได้ความว่า บรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมได้แสดงเจตนาต่อโจทก์เพื่อจะเข้าเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัย ก่อนที่โจทก์จะจ่ายค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายของอาคารที่จำเลยเอาประกันภัยไว้ให้แก่จำเลยแต่อย่างใด ดังนั้น บรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมจึงยังไม่มีสิทธิใด ๆ ตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าว เมื่อสิทธิของบรรษัท เงินทุนอุตสาหกรรมขนาดย่อมที่จะเป็นผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์ประกันภัยยังไม่บริบูรณ์ตามกฎหมายเสียแล้ว จำเลยผู้เอาประกันภัยในฐานะคู่สัญญาประกันภัยกับโจทก์ผู้รับประกันภัยย่อมเป็นผู้รับประโยชน์ที่จะได้รับ ค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ทรัพย์สินที่เอาประกันภัยจากโจทก์ตามเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๖๑ การที่จำเลยได้รับเงินค่าสินไหมทดแทนจากโจทก์จำนวน ๒๑๖,๔๖๙ บาท จึงเป็นการได้รับไว้โดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว มิใช่เป็นลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๖ ดังเช่นที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยแต่อย่างใด จำเลยไม่จำต้องคืนเงินค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความรวม ๕,๐๐๐ บาท

Share