แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้ว รับฟังว่าจำเลยทั้งสองเคยเป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการบริหารบริษัทเซ็นทรัลไดนามิค จำกัด และปัจจุบันจำเลยทั้งสองเป็นผู้ถือหุ้นร่วมกันในบริษัทดูเพล็กคอร์โปเรชั่น จำกัด ร้อยละ 60นอกจากนั้นจำเลยที่ 1 ยังมีชื่อเป็นเจ้าของที่ดินและตึกแถว4 ชั้น ซึ่งตั้งอยู่ในซอยสวนพลู ตามเอกสารหมาย ล.1 และมีชื่อเป็นเจ้าของรถยนต์โตโยต้า คันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร 9ม.-3109 ตามเอกสารหมาย จ.ร.2 ส่วนภริยาจำเลยที่ 1 ทำงานบริษัทฯ มีเงินเดือน ๆ ละ 30,000 บาทเศษส่วนจำเลยที่ 2 และภริยาต่างทำงานมีรายได้เป็นเงินเดือนประจำโดยจำเลยที่ 2 เป็นหัวหน้ากรรมกรท่าเรือ ได้รับเงินเดือนเดือนละ 4,000 บาท ถึง 5,000 บาท สำหรับภริยาจำเลยที่ 2มีรายได้เดือนละ 5,000 บาท ถึง 6,000 บาท แม้จำเลยทั้งสองจะถูกฟ้องเป็นคดีล้มละลาย แต่ไม่ปรากฏว่าศาลได้มีคำสั่งในเรื่องนี้ประการใด เห็นว่าจำเลยทั้งสองหาใช่เป็นคนยากจนไม่มีทรัพย์สินพอที่จะเสียค่าธรรมเนียมศาลเสียทีเดียวจำเลยทั้งสองยังพอมีทรัพย์สินอยู่บ้าง เห็นสมควรให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาบางส่วน มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยทั้งสองฎีกาอย่างคนอนาถาได้บางส่วน โดยให้ยกเว้นค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกากึ่งหนึ่ง ค่าธรรมเนียมศาลนอกจากที่ได้รับยกเว้นให้จำเลยทั้งสองนำมาวางศาลภายในกำหนด 30 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำสั่ง ฯลฯ
จำเลยเห็นว่าจำเลยทั้งสองถูกโจทก์ขู่บังคับให้ลาออกจากกรรมการบริษัทเซ็นทรัลไดนามิค จำกัด และโอนหุ้นให้คนของโจทก์ไปหมดแล้วโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือผลประโยชน์แต่อย่างใด ซึ่งจำเลยที่ 2 ได้ฟ้องโจทก์กับพวกในข้อหากรรโชกคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ ส่วนหุ้นในบริษัทดูเพล็กคอร์โปเรชั่น จำกัด นั้น จำเลยได้ถอนหุ้นไปตั้งแต่พ.ศ. 2526 แล้ว รถยนต์โตโยต้าคันหมายเลขทะเบียนกรุงเทพมหานคร9ม.-3109 เป็นของบริษัทเซ็นทรัลไดนามิค จำกัด แต่ใส่ชื่อจำเลยที่ 1 ในทางทะเบียน เมื่อจำเลยที่ 1 พ้นจากกรรมการบริษัทดังกล่าว ก็ได้ส่งมอบรถยนต์คืนกรรมการคนใหม่ไปโดยจำเลยที่ 1 ลงชื่อในใบโอนให้ไว้แต่กรรมการผู้นั้นยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงทางทะเบียน ปัจจุบันรถยนต์คันดังกล่าวอยู่ในความครอบครองของบริษัทเซ็นทรัลไดนามิค จำกัด ที่ดินและตึกแถว 4 ชั้นในซอยสวนพลู จำเลยที่ 1 ได้ขายไปแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม 2527 จำเลยทั้งสองมิได้ประกอบอาชีพและมีเงินได้เงินได้ของภรรยาจำเลยทั้งสองต้องนำไปใช้จ่ายในครอบครัวและค่าศึกษาบุตรของจำเลยทั้งสอง นอกจากนี้ภรรยาของจำเลยที่ 1ที่ 2 ยังต้องรับภาระหนี้ของจำเลยที่ 1 ที่ 2 และต้องผ่อนชำระเจ้าหนี้บางรายอยู่ ผู้ช่วยเหลือประกันตัวจำเลยที่ 1ในคดีอาญา เป็นมารดาของภรรยาจำเลยที่ 1 ซึ่งยังมีภาระต้องส่งเสียบุตรของตน ไม่อาจช่วยเหลือจำเลยที่ 1 ได้ ทั้งจำเลยที่ 1ยังค้างชำระหนี้มารดาภรรยาอยู่อีกแสนกว่าบาทนอกจากเป็นหนี้มารดาภรรยาแล้ว จำเลยที่ 1 ยังเป็นหนี้ผู้อื่นอีก ส่วนจำเลยที่ 2 มีภรรยาที่มิได้จดทะเบียนซึ่งบิดาเสียชีวิตแล้วนำหลักทรัพย์ของผู้อื่นมาประกันให้ จำเลยทั้งสองถูกฟ้องล้มละลายและศาลได้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยทั้งสองเด็ดขาดแล้วเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2530 ซึ่งคดีดังกล่าวศาลนัดฟังคำสั่งก่อนศาลมีคำสั่งเรื่องอนาถาในคดีนี้ ต่อมาวันที่ 4สิงหาคม 2530 จำเลยยื่นคำแถลงพร้อมทั้งแนบสำเนาคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดของศาลเพื่อให้ศาลชั้นต้นใช้ประกอบการพิจารณาคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาแล้ว แต่ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่มิได้นำคำแถลงเสนอศาล จนในที่สุดศาลได้มีคำสั่งคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองไปโดยไม่ทราบถึงคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดจำเลยทั้งสอง ต่อมาจำเลยทราบเหตุดังกล่าวจึงได้ยื่นคำแถลงต่อศาลขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถาของจำเลยทั้งสองใหม่อีกครั้งหนึ่งโดยแนบคำแถลงฉบับลงวันที่ 4 สิงหาคม2530 ต่อศาลด้วย ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลมีคำสั่งแล้วไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม จำเลยจึงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นต่อศาลฎีกา โปรดมีคำสั่งแก้ไขคำสั่งของศาลชั้นต้นโดยอนุญาตให้จำเลยทั้งสองดำเนินคดีอย่างคนอนาถาในชั้นฎีกา
หมายเหตุ โจทก์ยื่นคำร้องแก้อุทธรณ์คำสั่ง (อันดับ 205)
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ให้จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันชำระเงินจำนวน 13,992,226 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน 1,700,000 บาท นับแต่วันที่11 มกราคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จในต้นเงิน1,500,000บาท นับแต่วันที่ 24 มกราคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จในต้นเงิน 6,792,226 บาท นับแต่วันที่ 26 มกราคม 2527เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จและในต้นเงิน 4,000,000 บาท นับแต่วันที่31 มกราคม 2527 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จให้แก่โจทก์ (แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยทั้งหมดเมื่อคำนวณถึงวันฟ้องจะต้องไม่เกินจำนวนเงิน 254,756.67 บาท)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ฎีกา พร้อมกับยื่นคำร้องขอดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนแล้วมีคำสั่งดังกล่าว(อันดับ 139,138,194)
จำเลยที่ 1 ที่ 2 จึงยื่นคำร้องนี้ (อันดับ 203)
คำสั่ง
พิเคราะห์แล้วเห็นว่า อำนาจการอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ยกเว้นค่าธรรมเนียมศาลในชั้นฎีกาเพียงบางส่วนต่อศาลฎีกา ภายหลังที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้(จำเลยทั้งสอง) เด็ดขาดแล้ว ย่อมตกเป็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พุทธศักราช 2483 มาตรา 22(3)ประกอบด้วยมาตรา 25 จำเลยทั้งสองจึงไม่มีอำนาจดำเนินการในเรื่องนี้ ให้ยกคำร้อง