คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2557/2545

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

พระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 มาตรา 119 (1) มิได้ให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ไว้ และมิได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต”ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 1 (1) จึงต้องให้ความหมายคำว่า “ทุจริต” ตามพจนานุกรมคือ ความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง
โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างรายเดือน ลักษณะการจ้างมิได้ถือเอาการทำงานในแต่ละวันเป็นเกณฑ์ในการจ่ายค่าจ้าง การที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ในวันเกิดเหตุระหว่างเวลาทำงานเพียงชั่วขณะไม่ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับประโยชน์เพิ่ม แม้การกระทำของโจทก์ทั้งสองเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงการทำงานไปบ้าง และเป็นผลให้จำเลยต้องจ่ายค่าจ้างโดยไม่ได้รับประโยชน์จากการทำงานเป็นการตอบแทน ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองกระทำทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย
โจทก์ทั้งสองไม่เคยถูกตักเตือนมาก่อน ทั้งข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย ก็มิได้ระบุว่า การละทิ้งหน้าที่หรือหลีกเลี่ยงการทำงานเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างกรณีร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง จำเลยต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสอง

ย่อยาว

คดีทั้งสองสำนวนนี้ศาลแรงงานกลางรวมพิจารณาพิพากษาเข้าด้วยกัน โดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่า โจทก์ที่ ๑ และโจทก์ที่ ๒
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องเป็นใจความว่า โจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสองโดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้กระทำผิดและไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้าจึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์ทั้งสองเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างเดิม หากไม่สามารถรับกลับเข้าทำงานได้ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย ๓๘,๗๐๐ บาท และ ๓๘,๕๒๐ บาท สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ๒๕,๘๐๐ บาท และ ๑๒,๘๔๐ บาท ค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ๑๙๓,๕๐๐ บาท และ ๑๙๒,๖๐๐ บาท ให้แก่โจทก์ที่ ๑ และที่ ๒ ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปีของต้นเงินแต่ละจำนวน นับแต่วันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนให้การว่า โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ในเวลาทำงาน อันเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ จงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า จำเลยมีระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย ล.๑ และมีนโยบายห้ามพนักงานเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ โจทก์ทั้งสองไม่เคยถูกตักเตือนด้วยวาจาหรือเป็นหนังสือมาก่อน วันเกิดเหตุวันที่ ๒๓ มีนาคม ๒๕๔๔ โจทก์ทั้งสองเข้ากะทำงานระหว่างเวลา ๑๕ ถึง ๒๓ นาฬิกา วันดังกล่าวเวลาประมาณ ๒๒ นาฬิกา โจทก์ทั้งสองเข้าไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ในห้องเทคนิคเชี่ยนในเวลาทำงาน เป็นการละทิ้งหน้าที่และใช้ทรัพย์สินของจำเลยเพื่อประโยชน์ของตนเอง อันเป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานและคำสั่งของจำเลยผู้เป็นนายจ้าง กรณีจึงมีเหตุสมควรให้จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง ถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสียหายจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า แต่การฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับและคำสั่งของนายจ้างดังกล่าวยังถือไม่ได้ว่าเป็นกรณีที่ร้ายแรง หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยจึงต้องรับผิดในค่าชดเชยพร้อมดอกเบี้ยตามฟ้อง พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชยแก่โจทก์ทั้งสองจำนวน ๓๘,๗๐๐ บาท และ ๓๘,๕๒๐ บาท ตามลำดับ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (วันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๔๔) จนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า_ _ _ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของจำเลยว่า การที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ในห้องเทคนิคเชี่ยนระหว่างเวลาทำงานในวันเกิดเหตุเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างกรณีร้ายแรงหรือไม่ เห็นว่า ตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. ๒๕๔๑ มาตรา ๑๑๙ (๑) นายจ้างไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างในกรณีลูกจ้างทุจริตต่อหน้าที่โดยพระราชบัญญัติดังกล่าวมิได้ให้ความหมายคำว่า”ทุจริต” ไว้และมิได้ใช้คำว่า “โดยทุจริต” ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑ (๑) จึงต้องใช้ความหมายคำว่า”ทุจริต” ตามพจนานุกรมคือ ความประพฤติชั่ว โกง ไม่ซื่อตรง โจทก์ทั้งสองไม่เคยถูกตักเตือนมาก่อน และโจทก์ทั้งสองเป็นลูกจ้างรายเดือน ลักษณะการจ้างมิได้ถือเอาการทำงานแต่ละวันเป็นเกณฑ์ในการจ่ายค่าจ้าง การที่โจทก์ทั้งสองละทิ้งหน้าที่ไปเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์ในวันเกิดเหตุระหว่างเวลาทำงานเพียงชั่วขณะไม่ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับประโยชน์เพิ่ม แม้การกระทำของโจทก์ทั้งสองดังกล่าวเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงการทำงานไปบ้างและเป็นผลให้จำเลยต้องจ่างค่าจ้างโดยไม่ได้รับประโยชน์จากการทำงานเป็นการตอบแทน ก็ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองกระทำการทุจริตต่อหน้าที่ หรือจงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และกรณีไม่ปรากฏว่าเกิดความเสียหายแก่จำเลยหรือไม่เพียงใด ทั้งข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.๑ ก็มิได้ระบุว่าการละทิ้งหน้าที่หรือหลีกเลี่ยงการทำงานเป็นการฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานกรณีร้ายแรง จึงถือไม่ได้ว่าโจทก์ทั้งสองฝ่าฝืนข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานหรือระเบียบหรือคำสั่งของนายจ้างกรณีร้ายแรง การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสอง จำเลยจึงต้องจ่ายค่าชดเชยให้แก่โจทก์ทั้งสอง ศาลแรงงานกลางพิพากษาชอบแล้ว อุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

นายสมจิตร์ ทองศรี ผู้ช่วยฯ
นายเจษฎา ชุมเปีย ย่อ
นายไพโรจน์ โรจน์อภิรักษ์กุล ตรวจ
นายไมตรี ศรีอรุณ ผู้ช่วยฯ/ตรวจ

Share