แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลทหารกรุงเทพวินิจฉัยคดีส่วนอาญาที่จำเลยถูกฟ้องว่าพยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมานั้นทำให้เกิดความสงสัยว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่ เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย จึงพิพากษายกฟ้องโดยไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่ ถ้าหากฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับ ก็จะต้องชี้ขาดอีกด้วยว่าจำเลยได้กระทำโดยประมาทหรือไม่ เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้เสียหายฟ้องทางแพ่งเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลย จึงมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุได้.
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองสำนวนฟ้องว่า โจทก์ที่ ๒ เป็นบุตรของโจทก์ที่ ๑ซึ่งเกิดจากนายปราโมทย์ มนชน โจทก์ที่ ๓ เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์เก๋งคันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ร่วมกันประกอบกิจการเดินรถยนต์โดยสาร จำเลยที่ ๔ เป็นลูกจ้างขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๓ ไปในทางการที่จ้างจากกรุงเทพมหานครไปจังหวัดสงขลาด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังแล่นล้ำเส้นกึ่งก ลางถนนเป็นเหตุให้ชนรถยนต์เก๋งคันเกิดเหตุที่นายปราโมทย์ ขับนายปราโมทย์ ถึงแก่ความตาย โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บ รถยนต์เก๋งคันเกิดเหตุเสียหายจนไม่สามารถซ่อมได้ ขอให้บังคับจำเลยทั้งสี่ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายจำนวน ๕๕๕,๑๐๘.๗๕ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวน ๕๑๙,๔๐๐ บาทนับจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และบังคับให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ร่วมกันชำระเงินจำนวน ๙๔,๒๗๗.๕๐ บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของเงินจำนวน ๘๗,๗๐๐ บาทนับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ที่ ๓
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๔ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ มิใช่เจ้าของรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๔ เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑แต่มิใช่ผู้ขับรถยนต์โดยสารคันดังกล่าวในขณะเกิดเหตุ จำเลยที่ ๒ไม่ใช่ผู้ปกครองและไม่ได้ร่วมกิจการเดินรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุจำเลยที่ ๒ ไม่ใช่ผู้ครอบครองและไม่ได้ร่วมกิจการเดินรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุ จำเลยที่ ๔ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ ค่าเสียหายของโจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ ไม่เกิน ๓,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๒ มิใช่บุตรโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายจึงไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดไร้อุปการะรถยนต์เก๋งคันเกิดเหตุเสียหายไม่มากหากซ่อมให้อยู่ในสภาพดีค่าซ่อมไม่เกิน ๒๐,๐๐๐ บาท โจทก์ที่ ๓ นำรถยนต์เก๋งคันดังกล่าวออกขายโดยไม่สุจริต ไม่อาจสวมสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ร่วมกันชำระเงินจำนวน๖๖,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ จำนวน ๓,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๒ พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันละเมิดวันที่ ๑๙พฤศจิกายน ๒๕๒๒ จนกว่าจะชำระเสร็จและให้ร่วมกันชำระเงินจำนวน๘๗,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๓ พร้อมดอกเบี้ยอัตราเดียวกันนับตั้งแต่๑๖ พฤษภาคม ๕๒๕๒๓ จนกว่าจะชำระเสร็จ
โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ และจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ร่วมกันชำระเงิน ๑๒๕,๘๐๐ บาท แก่โจทก์ที่ ๑ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยที่ ๑ ที่ ๔ ว่าคดีนี้เป็นคดีแพ่งเกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลจำต้องถือเอาข้อเท็จจริงตามที่ปรา กฎในคำพิพากษาคดีส่วนอาญาเมื่อคำพิพากษาคดีส่วนอาญา ศาลสงสัยตามสมควรว่าจำเลยที่ ๔ เป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้เป็นผลดีแก่จำเลยที่ ๔ พิพากษายกฟ้อง ถือได้ว่าศาลวินิจฉัยแล้วว่าจำเลยที่ ๔ ไม่ได้กระทำความผิดหรือไม่ได้ละเมิดศาลที่วินิจฉัยในคดีส่วนแพ่งจะรับฟังข้อเท็จจริงตามโจทก์นำสืบว่า จำเลยที่ ๔ กระทำความผิดหรือทำละเมิดย่อมไม่ได้นั้น เห็นว่า คดีอาญาศาลทหารกรุงเทพ (ศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์) วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์เท่าที่นำสืบมานั้นทำให้เกิดความสงสัยว่า จำเลยเป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่เห็นควรยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย จึงพิพากษายกฟ้อง ดังนี้ ศาลที่พิพากษาคดีส่วนอาญาดังกล่าวไม่ได้ชี้ขาดว่าจำเลยที่ ๔ ในคดีนี้เป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุหรือไม่ ถ้าหากฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ ๔ ในคดีนี้เป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุ ก็จะต้องชี้ขาดอีกด้วยว่าจำเลยที่ ๔ ในคดีนี้ได้กระทำโดยประมาทหรือไม่ เมื่อโจทก์ที่ ๑ที่ ๒ ซึ่งเป็นผู้เสียหายฟ้องทางแพ่งเป็นคดีนี้เรียกค่าเสียหายฐานละเมิดจากจำเลยที่ ๔ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๒ จึงมีสิทธินำพยานหลักฐานเข้าสืบให้ฟังได้ว่าจำเลยที่ ๔ เป็นคนขับรถยนต์โดยสารคันเกิดเหตุได้
พิพากษายืน.