แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
จำเลยมีถิ่นที่อยู่ 2 แห่ง ถือว่าแห่งใดแห่งหนึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยเมื่อเจ้าหน้าที่ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ ภูมิลำเนาแห่งหนึ่งของจำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การโดยจงใจย่อมมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานและถามค้านพยานโจทก์ เมื่อจำเลยเบิกความยอมรับว่าจำเลยไม่ส่งไม้ให้โจทก์ตามสัญญาแล้ว จำเลยจะอ้างข้อเท็จจริงขึ้นใหม่ว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่ชำระค่าไม้ที่เหลือหาได้ไม่ เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาขายไม้ซุงท่อนชนิดไม้ยางให้โจทก์ 200 ท่อน โดยโจทก์ได้จ่ายเงินวางมัดจำให้จำเลยรับไปแล้วจำนวน 300,000 บาท และตกลงชำระเงินแก่จำเลยอีกในวันรับมอบไม้จำนวน 900,000 บาท แต่จำเลยไม่ส่งมอบไม้แก่โจทก์ตามสัญญาต่อมาในปี 2526 จำเลยตกลงขายไม้ซุงท่อนชนิดไม้ยางให้แก่โจทก์อีกจำนวนหนึ่ง ในราคาลูกบาศก์เมตรละ 2,300 บาท โดยขอเบิกเงินค่าใช้จ่ายดำเนินการไปจากโจทก์ล่วงหน้าในวันที่ 7, 21 เมษายน2526 และวันที่ 6 พฤษภาคม 2526 รวม 3 ครั้ง เป็นเงิน 450,000 บาทแต่หลังจากนั้นจำเลยส่งมอบไม้ถึงโรงเลื่อยของโจทก์เพียงครั้งเดียวเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2526 จำนวน 161.71 ลูกบาศก์เมตร หักค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่โจทก์ทดรองจ่ายไปก่อนจำนวน 46,895 บาท และหักเป็นไม้เสียและวัดเกินจำนวน 7.22 ลูกบาศก์เมตรแล้ว คงเหลือเป็นเงินค่าไม้ซุงท่อนจำนวน 308,432 บาท จึงยังน้อยกว่าเงินค่าใช้จ่ายที่จำเลยเบิกไปล่วงหน้าจำนวน 141,568 บาทและเงินมัดจำอีก 300,000บาท ทั้งทำให้โจทก์เสียหายไม่อาจนำไม้มาแปรรูปขายได้กำไรไม่น้อยกว่า200,000 บาท โจทก์ทวงถามแล้ว จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน 653,454 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
จำเลยยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นคำให้การอ้างว่ามิได้จงใจขาดนัดศาลชั้นต้นสั่งยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงิน 424,962 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน441,568 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่า เจ้าหน้าที่ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ บ้านเลขที่ 110/192 โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การสมควรอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การนั้น ปรากฏตามรายงานการส่งหมายว่า เจ้าหน้าที่ธุรการศาลจังหวัดพิษณุโลกได้ไปส่งหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องให้จำเลย ณบ้านเลขที่ตามที่ระบุในฟ้องว่าเป็นถิ่นที่อยู่ของจำเลย 2 ครั้งครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2530 พบภรรยาจำเลยสอบถามได้ความว่า จำเลยไปจังหวัดเพชรบูรณ์จะกลับวันที่ 11 เมษายน 2530และไม่เต็มใจรับหมายไว้แทน ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2530พบภรรยาจำเลยแจ้งว่า จำเลยไปธุระต่างจังหวัดไม่ทราบกำหนดกลับและไม่เต็มใจรับหมายไว้แทน เจ้าหน้าที่จึงปิดหมายไว้ ต่อมาเมื่อวันที่ 7 มิถุนายน 2530 เจ้าหน้าที่ได้ไปส่งหมายนัดสืบพยานโจทก์ให้จำเลยพบนายเกษม ตั้งเกษมวิบูลย์ บุตรชายจำเลยรับหมายไว้แทนและปรากฏตามคำร้องของจำเลยลงวันที่ 16 กรกฎาคม 2530 ว่าบุตรชายได้นำหมายนัดมาให้จำเลย ดังนี้ ย่อมแสดงว่าขณะเจ้าหน้าที่ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้องจำเลยยังคงมีถิ่นที่อยู่ ณ บ้านเลขที่110/192 ตามที่โจทก์ระบุไว้ในฟ้องนั่นเอง แม้จำเลยจะอ้างว่าได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 46 ตำบลเดียวกันก่อนโจทก์ฟ้อง ปรากฏตามภาพถ่ายสำเนาทะเบียนบ้านท้ายคำร้องของจำเลยดังกล่าวก็ถือได้ว่า จำเลยมีถิ่นที่อยู่สองแห่ง และแห่งใดแห่งหนึ่งดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 45 ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าเจ้าหน้าที่ได้ปิดหมายเรียกและสำเนาคำฟ้อง ณ บ้านเลขที่ 110/192ซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยโดยชอบแล้วจำเลยไม่ยื่นคำให้การภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ถือว่าจำเลยจงใจขาดนัดยื่นคำให้การและไม่มีเหตุที่จะอนุญาตให้จำเลยยื่นคำให้การ ฎีกาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาซื้อขายไม้แต่โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญานั้น สำหรับการซื้อขายไม้ตามหนังสือสัญญาซื้อขายไม้ซุงท่อน เอกสารหมาย จ.2 โจทก์นำสืบว่าในปี 2525 จำเลยได้ทำสัญญาขายไม้ซุงให้โจทก์ และจำเลยได้รับเงินมัดจำ 300,000บาทในวันทำสัญญา ปรากฏตามหนังสือสัญญาซื้อขายไม้ซุงท่อน เอกสารหมายจ.2 แต่จำเลยไม่ส่งไม้ให้โจทก์ตามสัญญา ส่วนจำเลยนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาขายไม้ให้โจทก์และได้รับเงินมัดจำ 300,000 บาทจากโจทก์จริง แต่จำเลยไม่ส่งไม้ให้โจทก์เพราะโจทก์ผิดสัญญาไม่มีเงินชำระค่าไม้อีก 900,000 บาท ยอมให้จำเลยริบเงินมัดจำ เห็นว่าคดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การจำเลยมีสิทธิเพียงสาบานตนให้การเป็นพยานเองและถามค้านพยานโจทก์เท่านั้นเมื่อจำเลยยอมรับว่าจำเลยไม่ส่งไม้ให้โจทก์ตามสัญญาแล้วจำเลยจะอ้างข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่ว่าโจทก์ผิดสัญญาไม่มีเงินชำระค่าไม้อีก 900,000 บาท หาได้ไม่เพราะจำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้คดีไว้ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ตามที่โจทก์นำสืบและจำเลยยอมรับว่า จำเลยรับเงินมัดจำ 300,000 บาทจากโจทก์แล้วไม่ส่งไม้ให้โจทก์ตามสัญญา เป็นการละเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาต้องคืนเงินมัดจำจำนวนดังกล่าวให้โจทก์ สำหรับเรื่องคุณภาพไม้ โจทก์นำสืบว่าได้ตรวจวัดปริมาตรไม้ต่อหน้าคนขับรถบรรทุกที่นำไม้มาส่ง ปรากฏว่าไม้ข้างในเป็นโพรงเสียหายไปรวม 7.22 ลูกบาศก์เมตร ปรากฏตามรายการแนบท้ายใบส่งของชั่วคราว เอกสารหมาย จ.15 ถึง จ.20 ส่วนจำเลยนำสืบว่าจำเลยไม่สามารถตรวจดูไม้ได้เพราะโจทก์แปรรูปไม้หมดแล้วเห็นว่าตามใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.12/1 และ จ.12/3 ปรากฏว่าลายมือชื่อคนขับรถบรรทุกเป็นลายมือชื่อของบุคคลคนเดียวกัน แต่ตามรายการแนบท้ายใบส่งของ 2 ฉบับดังกล่าวกลับระบุชื่อคนขับรถบรรทุกเป็นคนละคนกัน และตามใบส่งของชั่วคราวเอกสารหมาย จ.12/4 และ จ.12/5ปรากฏว่าคนขับรถบรรทุกชื่อเย็น แต่ตามรายการแนบท้ายใบส่งของ 2 ฉบับดังกล่าวกลับระบุว่าคนขับรถบรรทุกชื่อนายสุเทพ หอมบุปผา และนายเหลือมีเอี่ยม ตามลำดับ ข้อเท็จจริงจึงรับฟังไม่ได้ว่าได้มีการตรวจวัดปริมาตรไม้ต่อหน้าคนขับรถบรรทุกและพบไม้เสียเป็นโพรงตามที่โจทก์นำสืบ โจทก์จะหักปริมาตรไม้ที่อ้างว่าเสียเป็นโพรงออกจากปริมาตรไม้ทั้งหมดไม่ได้ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.