แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของนาง ผ. เจ้ามรดก ภายหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเป็นเวลาถึง 37 ปีเศษ จึงพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1754 แต่หากโจทก์ซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา 1748 แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าว ดังนั้นโจทก์จึงต้องนำสืบให้ได้ความโดยแน่ชัดว่าที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกันและทายาทอื่นได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์
ทรัพย์มรดกที่ดินของนาง ผ. เจ้ามรดกได้แบ่งปันให้แก่นาย ร. นาง บ. และนาย ส. ทายาทของนาง ผ. เจ้ามรดก และบุคคลทั้งสามดังกล่าวเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด อันเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา 1750 วรรคแรก จึงถือว่าการแบ่งปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว และนับแต่นั้นมาย่อมถือว่านาย ร. นาย ส. และนาง บ. ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตน มิใช่ครอบครองแทนโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาส่วนแบ่งมรดกอีก
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ จดทะเบียนใส่ชื่อโจทก์ในโฉนดที่ดินและแบ่งแยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินให้โจทก์เนื้อที่ ๖ ไร่ ๖๔ ตารางวา หากไม่ปฏิบัติให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ หรือชดใช้เงิน ๑๘,๔๘๐,๐๐๐ บาท กับให้จำเลยทั้งสิบร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน ๔,๘๘๗,๖๒๕ บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ให้การว่า
โจทก์ได้ออกจากที่ดินมรดกที่ครอบครองทำนาไปโดยยอมรับส่วนแบ่งมรดกเป็นเงินโดยเป็นการตีใช้หนี้ส่วนแบ่งมรดกที่โจทก์ได้รับและโจทก์ยอมสละการครอบครองที่ดิน
ฟ้องโจทก์ขาดอายุความ
โจทก์มอบให้นายเรือง นางใบ นายเชื้อ นายเสน และจำเลยที่ ๑ เข้ายึดถือครอบครองเฉพาะส่วนที่โจทก์จะได้รับโดยมิได้ยึดถือครอบครองแทนโจทก์
หลังจากโจทก์ออกจากที่ดินมรดกไปแล้วโจทก์ไม่เคยเข้าไปในที่ดินมรดก ไม่เคยเสียภาษีบำรุงท้องที่ ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๑๐ ให้การว่า จำเลยที่ ๑๐ ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ หากโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวโจทก์ต้องไปว่ากล่าวเอาแก่จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ เอง ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ชำระเงิน ๒,๑๔๘,๓๙๒.๔๙ บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๑๔๗ ตำบลบางแม่นาง อำเภอบางใหญ่ จังหวัดนนทบุรี ให้โจทก์เนื้อที่ ๒ ไร่ ๒ งาน ๖๑? ตารางวา หากจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ไม่ไปให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑๐ ค่าฤชาธรรมเนียมเกี่ยวกับจำเลยที่ ๑๐ ให้เป็นพับ กับให้จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ชำระค่าขึ้นศาลในนามของโจทก์ผู้ฟ้องคดีอย่างคนอนาถาตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ด้วย ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ถึงที่ ๙ ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกาโดยได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา
ระหว่างพิจารณา จำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม นายเจริญ ชมแผน ทายาทของจำเลยที่ ๑ ขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลฎีกาอนุญาต
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องเรียกที่ดินพิพาทอันเป็นทรัพย์มรดกของนางผิวเจ้ามรดกภายหลังจากเจ้ามรดกถึงแก่ความตายเป็นเวลาถึง ๓๗ ปีเศษ จึงพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่เจ้ามรดกตาย หรือนับแต่เมื่อทายาทโดยธรรมได้รู้ หรือควรได้รู้ถึงความตายของเจ้ามรดก ซึ่งต้องห้ามมิให้ฟ้องคดีมรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๔ แต่หากโจทก์ซึ่งเป็นทายาทได้ครอบครองทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกัน ก็ย่อมมีสิทธิที่จะเรียกร้องให้แบ่งทรัพย์มรดกนั้นได้แม้ว่าจะล่วงพ้นกำหนดอายุความตามมาตรา ๑๗๔๘ แห่งประมวลกฎหมายดังกล่าวแล้ว ดังนั้นโจทก์จึงต้องนำสืบให้ได้ความโดยแน่ชัดว่า ที่ดินพิพาทเป็นทรัพย์มรดกที่ยังมิได้แบ่งกันและทายาทอื่นได้ครอบครองที่ดินพิพาทแทนโจทก์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ทรัพย์มรดกที่ดินของนางผิวเจ้ามรดกได้แบ่งปันให้แก่นายเรือง นางใบ และนายเสนทายาทของนางผิวเจ้ามรดกและบุคคลทั้งสามดังกล่าวเข้าครอบครองที่ดินพิพาทเป็นส่วนสัด อันเป็นการแบ่งปันทรัพย์มรดกตาม ป.พ.พ. มาตรา ๑๗๕๐ วรรคแรก จึงถือว่าการแบ่งปันมรดกเสร็จสิ้นแล้ว ตั้งแต่วันที่ ๗ ธันวาคม ๒๕๐๔ และนับแต่นั้นมาย่อมถือว่านายเรือง นายเสน และนางใบ ครอบครองที่ดินพิพาทเพื่อตน มิใช่ครอบครองแทนโจทก์ ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องเอาส่วนแบ่งมรดกอีก
พิพากษายืน ค่าทนายความชั้นฎีกาให้เป็นพับ.