คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3173/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ผู้ร้องซึ่งเป็นสามีของจำเลย ทราบว่าจำเลยถูกฟ้องคดีนี้และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแพ้คดี หลังจากนั้นประมาณ6 เดือน ผู้ร้องและจำเลยจดทะเบียนหย่ากันโดยตกลงให้ทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสตกได้แก่ผู้ร้องฝ่ายเดียว เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยร่วมกันทำขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงมิให้จำเลยถูกยึดทรัพย์มาเพื่อการบังคับคดีเป็นการกระทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเสียเปรียบโจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทมาดำเนินการบังคับคดีเอาชำระหนี้แก่โจทก์ได้

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกันโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและอาคารตามฟ้องให้โจทก์ ถ้าโอนไม่ได้ให้คืนเงินแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายจำเลยที่ 3 ทราบคำบังคับแล้วไม่ชำระหนี้ โจทก์จึงนำยึดทรัพย์พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินชำระหนี้ตามคำพิพากษา

ผู้ร้องยื่นคำร้องขอว่า เดิมผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 เป็นสามีภริยากันแต่ได้หย่าขาดจากกันแล้ว ทรัพย์พิพาทเป็นของผู้ร้องแต่ผู้เดียว ขอให้ปล่อยการยึด

โจทก์ให้การว่า ผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ยังอยู่ร่วมกันฉันสามีภริยา ไม่มีเจตนาหย่ากัน เพียงแต่ทำขึ้นเพื่อฉ้อฉลโจทก์ ทั้งหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ร่วม ขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาให้ยกคำร้องของผู้ร้อง

ผู้ร้องอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

ผู้ร้องฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ผู้ร้องเบิกความรับว่าผู้ร้องทราบว่าจำเลยที่ 3ถูกฟ้องคดีนี้และศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 3 แพ้คดีก่อนที่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 3จดทะเบียนหย่ากัน เห็นว่า การที่ผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 จดทะเบียนหย่ากันหลังจากศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 3 ชำระเงินแก่โจทก์เพียงประมาณ 6 เดือน โดยตกลงกันให้ทรัพย์พิพาทซึ่งเป็นสินสมรสได้แก่ผู้ร้องฝ่ายเดียว เป็นพฤติการณ์ที่แสดงว่าผู้ร้องกับจำเลยที่ 3 ร่วมกันทำขึ้น เพื่อหลักเลี่ยงการที่จำเลยที่ 3 จะต้องถูกยึดทรัพย์มาเพื่อการบังคับคดี เป็นการกระทำให้โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาเสียเปรียบโจทก์มีสิทธิยึดทรัพย์พิพาทมาดำเนินการบังคับคดีเอาชำระหนี้แก่โจทก์ได้

พิพากษายืน

Share