คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 284/2527

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กับจำเลยทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันซื้อที่ดินพร้อมโรงงานและสิ่งปลูกสร้าง โดยตกลงออกเงินกันคนละครึ่งจำเลยผิดสัญญาไม่ออกเงินส่วนของตน. โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเข้าหุ้นส่วนต่อจำเลยโดยถือว่าโจทก์มีสิทธิตามสัญญาซื้อขายแต่ผู้เดียว คำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีอยู่ข้อหนึ่งว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อและทำหนังสือสัญญาจะซื้อขายที่ดินและโรงงานกับผู้ขายแต่ผู้เดียว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง เช่นนี้ฟังได้ว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและโรงงานดังกล่าวแล้ว คำให้การจำเลยก็โต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้ขอให้โจทก์จ่ายเงินทดรองและโจทก์ก็ไม่ได้จ่ายเงินทดรองแทนจำเลย เงินที่ชำระครั้งแรกกับที่ผ่อนชำระจำเลยได้ชำระครึ่งหนึ่งตามสัญญาตลอดมา จึงเป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์กับจำเลย หากพิจารณาได้ตามความที่โจทก์ฟ้อง ศาลก็บังคับตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวได้ส่วนคำขออื่นซึ่งศาลบังคับให้ไม่ได้ หรือโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง ศาลก็ชอบที่จะยกคำขอนั้น การงดสืบพยานจึงไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิแต่ผู้เดียวตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินและโรงงานในราคา 3,400,000 บาท จำเลยให้การว่าจำเลยมีสิทธิตามสัญญาดังกล่าวครึ่งหนึ่งและจำเลยได้ชำระเงินตามสัญญาครึ่งหนึ่งตลอดมา ดังนี้ เป็นคดีมีทุนทรัพย์ โจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ 1,700,000 บาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าโจทก์กับจำเลยทำสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันซื้อที่ดินพร้อมโรงงานและสิ่งปลูกสร้าง โดยตกลงออกเงินกันคนละครึ่ง แต่จำเลยไม่มีเงิน ขอให้โจทก์จ่ายเงินส่วนของจำเลยแทนไปก่อนแล้วจำเลยจะชำระคืนให้โจทก์ภายหลังโจทก์ได้จ่ายเงินทดรองแทนจำเลยไปบางส่วนแล้ว และทวงถามให้จำเลยชำระเงินจำนวนนี้จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเข้าหุ้นส่วนโดยถือว่าโจทก์มีสิทธิตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวแต่ผู้เดียว ขอให้ศาลพิพากษาว่า สัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นอันเลิกระงับต่อกัน และโจทก์เป็นผู้ซื้อและทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและโรงงานตามเอกสารท้ายฟ้องกับผู้ขายแต่ผู้เดียว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องให้ถอนหรือลบชื่อออกจากสัญญาภายใน 7 วัน

จำเลยให้การว่า โจทก์กับจำเลยเป็นหุ้นส่วนซื้อทรัพย์สินตามฟ้องจริงโจทก์ไม่ได้ออกเงินทดรองซื้อทรัพย์สินตามฟ้องแทนจำเลย จำเลยร่วมออกเงินไปเท่ากับโจทก์ทั้งสิ้น จำเลยชำระเงินครั้งแรกในวันทำสัญญาไปแล้ว ส่วนการชำระเงินค่างวดต่อมา โจทก์และภริยาเป็นหนี้จำเลยอยู่ 1,000,000 บาท จำเลยตกลงมอบเงินจำนวนนี้ไว้แก่โจทก์และให้โจทก์นำเงินดังกล่าวชำระค่างวดตามสัญญาทุกเดือนคิดถึงวันให้การยังมีเงินเหลืออยู่อีกหลายแสนบาท โจทก์ไม่มีสิทธิบอกเลิกสัญญาสัญญาระหว่างโจทก์และจำเลยยังไม่ระงับ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ศาลสั่งว่าทรัพย์สินของหุ้นส่วนเป็นของโจทก์แต่ผู้เดียว ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิจารณาสืบพยานโจทก์ได้ 1 ปาก เห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้วให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่า คำขอของโจกท์เรื่องการเลิกสัญญาไม่ใช่กรณีที่จะใช้สิทธิทางศาล ส่วนคำขออื่นฝ่าฝืนข้อเท็จจริง และไม่มีความสัมพันธ์กับข้ออ้างที่โจทก์อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามที่กล่าวมาในฟ้อง แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ตามฟ้อง ศาลก็ไม่อาจพิพากษาให้เป็นไปตามคำขอของโจทก์ได้ พิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โ่จทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำฟ้องของโจทก์สรุปได้ว่า โจทก์กับจำเลยเข้าหุ้นกันซื้อที่ดินพร้อมด้วยโรงงานและสิ่งปลูกสร้างจากผู้ขายเป็นเงินจำนวนหนึ่ง โดยโจทก์กับจำเลยออกเงินคนละครึ่ง แต่จำเลยไม่มีเงินขอให้โจทก์จ่ายเงินส่วนของจำเลยแทนไปก่อนแล้วจะชำระคืนให้โจทก์ในภายหลัง โจทก์ได้จ่ายเงินทดรองจำเลยไปแล้วทวงถามให้จำเลยชำระเงินจำนวนนี้ จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาเข้าหุ้นส่วนต่อจำเลยโดยถือว่าโจทก์มีสิทธิตามสัญญาซื้อขายดังกล่าวแต่ผู้เดียวคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มีข้อหนึ่งว่า โจทก์เป็นผู้ซื้อและทำหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและโรงงานตามเอกสารท้ายฟ้องกับผู้ขายแต่ผู้เดียว ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องคำขอข้อนี้ประกอบกับคำฟ้องฟังได้ว่า จำเลยได้โต้แย้งสิทธิของโจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินและโรงงานดังกล่าว โจทก์จึงขอให้ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง เมื่อจำเลยยื่นคำให้การ จำเลยก็โต้แย้งว่าจำเลยไม่ได้ขอให้โจทก์จ่ายเงินทดรองแทนจำเลย และโจทก์ก็ไม่ได้จ่ายเงินทดรองแทนจำเลยเเป็นเงิน1,894,446 บาท 20 สตางค์ ตามที่โจทก์ฟ้อง เงินที่ชำระครั้งแรกในวันทำสัญญาและเงินผ่อนชำระเป็นรายเดือนตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพร้อมโรงงานและสิ่งปลูกสร้างนั้น จำเลยได้ชำระตามสัญญาครั้งหนึ่งตลอดมา ดังนี้เป็นกรณีที่มีข้อโต้แย้งระหว่างโจทก์กับจำเลย หากพิจารณาได้ความตามที่โจทก์ฟ้องศาลก็บังคับตามคำขอของโจทก์ดังกล่าวข้างต้นได้ ส่วนคำขอข้ออื่นซึ่งศาลบังคับให้ไม่ได้ หรือโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้อง ศาลก็ชอบที่จะยกคำขอนั้น

สำหรับค่าขึ้นศาลนั้น โจทก์ฟ้องว่าโจทก์มีสิทธิแต่ผู้เดียวตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินพร้อมด้วยโรงงานและสิ่งปลูกสร้างในราคา 3,400,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยมีสิทธิตามสัญญาครึ่งหนึ่ง และจำเลยได้ชำระเงินตามสัญญาดังกล่าวครึ่งหนึ่งตลอดมา ดังนี้เป็นคดีมีทุนทรัพย์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในจำนวนทุนทรัพย์ 1,7000,000 บาทนั้นชอบแล้ว

พิพากษายกคำพิพากษาศาลล่างทั้งสอง ให้ศาลชั้นต้นสืบพยานและดำเนินกระบวนพิจารณาต่อไป

Share