แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศ. มีชื่อเป็นผู้ถือประทานบัตร การที่โจทก์เข้าทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ตามประทานบัตรก็โดยอาศัยสิทธิของ ศ.โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองหรือได้รับโอนประทานบัตรจาก ศ. ตามมาตรา 77, 78 แห่งพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510สิทธิการทำเหมืองตามประทานบัตรยังเป็น ของ ศ. การที่จำเลยที่ 1สั่งเพิกถอนประทานบัตร ดังกล่าว หาเป็นการโต้แย้งสิทธิการทำเหมืองของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์ทำเหมืองผิดจากที่ได้รับอนุญาตตามประทานบัตร ปล่อยทำนบเก็บกักน้ำขุ่นข้นดินทรายที่ชิดทางน้ำพังอัน เป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ซึ่งจะเป็นเหตุให้รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510 มาตรา 138 นั้น อำนาจของรัฐมนตรีตามกฎหมายดังกล่าวแตกต่างจากอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งเพิกถอนประทานบัตรที่กำหนดไว้ในมาตรา 85, 86ซึ่งบัญญัติ ไว้ในหมวดทำเหมือง แต่มาตรา 138 บัญญัติไว้ในหมวดกำหนดโทษซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรตามมาตรา 138 เพราะเหตุที่ผู้ถือประทานบัตรกระทำผิดพระราชบัญญัติแร่ได้ ต่อเมื่อผู้ถือประทานบัตรได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อน เมื่อไม่ปรากฏว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กระทำอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ.2510ได้มีการดำเนินคดีให้ มีการลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติแร่มาตรา 138 รัฐมนตรี จึงไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์การที่ จำเลยที่ 1 สั่งเพิกถอนประทานบัตรที่ออกให้โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจทำเหมืองได้ ต่อไปจนสิ้นกำหนดตามประทานบัตร โจทก์ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายจากการทำละเมิดของจำเลยที่ 1 ได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้ถือประทานบัตรทำเหมืองจำนวน ๓ แปลงและทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรของนายศรีวรรณ ซึ่งลงชื่อถือประทานบัตรแทนโจทก์และได้โอนสิทธิตามประทานบัตรรวมทั้งที่ดินให้โจทก์ แต่ยังไม่ได้จดทะเบียนเปลี่ยนชื่อผู้ถือประทานบัตรโจทก์เริ่มทำเหมืองแร่ตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๓ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๕๑๘ จำเลยที่ ๑ ได้สั่งเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์โดยอ้างว่าออกประทานบัตรโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ และโจทก์กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยไม่มีการสอบสวนความผิดที่กล่าวหาตาม พ.ร.บ. แร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๓๘ เสียก่อนโจทก์มิได้กระทำความผิดและไม่เคยถูกศาลพิพากษาลงโทษตามที่ถูกกล่าวหา การออกประทานบัตรที่โจทก์และนายศรีวรรณเป็นผู้ถือไม่มีการออกประทานบัตรโดยสำคัญผิดแต่ประการใด จำเลยที่ ๑ ไม่มีอำนาจสั่งเพิกถอนได้ตามกฎหมายจำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ควบคุมการทำเหมืองแร่ได้เรียกประทานบัตรคืน ทำให้โจทก์ต้องเลิกกิจการทำเหมืองแร่อันเป็นการละเมิดทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่สามารถทำเหมืองจนครบกำหนดเวลาขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยให้แก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่ใช่ผู้ถือประทานบัตร ผู้รับโอนหรือผู้รับช่วงการทำเหมืองแร่ตามประทานบัตรอันเป็นสิทธิของนายศรีวรรณจึงไม่มีอำนาจฟ้องเขตพื้นที่ตามประทานบัตรทั้งสี่แปลงต่อเนื่องกันตั้งอยู่ในบริเวณป่าต้นน้ำลำธาร ผู้ขอประทานบัตรมิได้แจ้งให้พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลยที่ ๒ ทราบ มิฉะนั้นจำเลยที่ ๑ ก็จะไม่ออกประทานบัตรทั้งสี่แปลงนั้น หรือหากจะออกประทานบัตรให้ก็ต้องกำหนดวิธีการทำเหมืองและข้อปฏิบัติเกี่ยวกับการป้องกันความเดือดร้อนเสียหายอันเกิดจากการใช้น้ำกักเก็บน้ำ การปล่อยน้ำ การเก็บมูลดินทราย การขุดแยกทางน้ำสาธารณะ ตลอดจนวิธีการเงื่อนไขอื่น ๆให้รัดกุมกว่าที่กำหนดไว้ในประทานบัตรทั้งสี่แปลงนั้นหลังจากจำเลยที่ ๑ออกประทานบัตรไปแล้วจึงทราบว่าพื้นที่ตามประทานบัตรทั้งสี่แปลงเป็นป่าต้นน้ำลำธาร ได้ออกประทานบัตรไปโดยสำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ จำเลยที่ ๑ มีอำนาจเพิกถอนได้ตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๙ ทวิ นอกจากนี้โจทก์และนายศรีวรรณผู้ถือประทานบัตรได้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติแร่ โดยทำเหมืองผิดวิธีการแผนผังโครงการและเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในประทานบัตร จำเลยที่ ๑ มีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรเสียได้โดยไม่จำต้องสอบสวนดำเนินคดี หรือให้ศาลพิพากษาลงโทษผู้ถือประทานบัตรก่อนตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๓๘จำเลยที่ ๒ เป็นเพียงปฏิบัติการควบคุมการทำเหมืองแร่ของโจทก์และนายศรีวรรณให้เป็นไปตามกฎหมายตามอำนาจหน้าที่เท่านั้น การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นการชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ไม่เสียหาย
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเกี่ยวกับประทานบัตรที่ออกให้นายศรีวรรณ จำเลยที่ ๑ ออกประทานบัตรทั้ง ๓ แปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์โดยมิได้สำคัญผิดในข้อเท็จจริงอันเป็นสาระสำคัญ จำเลยมิได้ดำเนินคดีให้มีการลงโทษโจทก์ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐จึงไม่มีอำนาจเพิกถอนประทานบัตรของโจทก์ตามมาตรา ๑๓๘ ได้สำหรับจำเลยที่ ๒ เป็นเพียงปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาโดยชอบไม่เป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ พิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
โจทก์และจำเลยที่ ๑ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้ยกฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ ๑ เสียด้วย
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่านายศรีวรรณ เป็นผู้ยื่นคำขอประทานบัตรและเป็นผู้ถือประทานบัตร การที่โจทก์เข้าทำเหมืองในเขตเหมืองแร่ตามประทานบัตรฉบับนั้นร่วมโครงการเดียวกับประทานบัตรที่โจทก์เป็นผู้ถือ ก็โดยอาศัยสิทธิของนายศรีวรรณ โจทก์ไม่ได้เป็นผู้รับช่วงการทำเหมืองหรือได้รับโอนประทานบัตรจากนายศรีวรรณผู้ถือประทานบัตรตามมาตรา ๗๗, ๗๘ แห่งพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. ๒๕๑๐ สิทธิการทำเหมืองตามประทานบัตรดังกล่าวยังเป็นของนายศรีวรรณ การที่จำเลยที่ ๑ สั่งเพิกถอนหาเป็นการโต้แย้งสิทธิการทำเหมืองของโจทก์ไม่โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
การที่โจทก์สร้างทำนบปิดกั้นทางน้ำสาธารณะเป็นการเสื่อมประโยชน์แก่การใช้ทางน้ำสาธารณะ และทำการสูบน้ำจากทางน้ำสาธารณะโดยมิได้รับอนุญาตปล่อยน้ำขุ่นข้น มูลดินทรายอันเกิดจากการทำเหมืองออกนอกเขตทำเหมืองลงสู่ทางน้ำสาธารณะโดยมิได้ป้องกันทางน้ำสาธารณะตื้นเขินหรือเสื่อมประโยชน์แก่การใช้ทางน้ำทำเหมืองโดยมิได้ขุดแยกทางน้ำทำเหมืองโดยวิธีผิดไปจากที่ได้รับอนุญาต ปล่อยทำนบที่ชิดทางน้ำสาธารณะและทำนบเก็บกักน้ำขุ่นข้นดินทรายทรุดพัง อันเป็นการกระทำฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๓๘ ซึ่งรัฐมนตรีมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรได้ นั้นแตกต่างกับอำนาจของรัฐมนตรีในการสั่งเพิกถอนประทานบัตรที่กำหนดไว้ในมาตราอื่น เช่น มาตรา ๘๕ ในกรณีผู้ถือประทานบัตรไปเสียจากภูมิลำเนาหรือถิ่นที่อยู่และทรัพยากรธรณีประจำท้องที่ไม่อาจติดต่อถึงได้ หรือมาตรา ๘๖ เมื่อผู้ถือประทานบัตรไม่ชำระหนี้อันพึงต้องชำระตามกฎหมายว่าด้วยแร่ภายในกำหนดแต่มาตรา ๑๓๘ บัญญัติให้อำนาจรัฐมนตรีไว้ในกำหนดโทษ ซึ่งเป็นที่เห็นได้ว่ารัฐมนตรีจะมีอำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรได้ต่อเมื่อผู้ถือประทานบัตรได้รับโทษทางอาญาตามที่กฎหมายกำหนดไว้เสียก่อนจะโดยศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด หรือโดยการเปรียบเทียบตามกฎหมายก็ตาม เมื่อไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่โจทก์กระทำการอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. ๒๕๑๐ ดังกล่าว ได้มีการดำเนินคดีให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติแร่พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๑๓๘ รัฐมนตรีจึงไม่อำนาจสั่งเพิกถอนประทานบัตรขงโจทก์ การที่จำเลยที่ ๑ สั่งเพิกถอนประทานบัตรที่ออกให้โจทก์จึงเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหายไม่อาจทำเหมืองได้ต่อไปจนสิ้นกำหนดตามประทานบัตร โจทก์ย่อมมีสิทธิเรียกร้องเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดจากการทำละเมิดของจำเลยที่ ๑ ได้
ส่วนค่าเสียหายที่โจทก์ได้รับนั้นเมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำการอันมีลักษณะเป็นการฝ่าฝืนพระราชบัญญัติแร่อันมีส่วนให้จำเลยเพิกถอนประทานบัตรโดยไม่ชอบ ศาลจึงกำหนดค่าเสียหายให้ตามที่เห็นสมควร
พิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยนอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์