แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สายโทรศัพท์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเป็นทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่มีไว้ใช้ให้บริการแก่ลูกค้า ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ตาม ป.อ. มาตรา 335 (10) ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปรับบทลงโทษตามมาตรา 335 (10) จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 334, 335, 336 ทวิ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ตนเป็นเงิน 30,117.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 22 มิถุนายน 2550 จนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์ร่วม
จำเลยทั้งสองให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยทั้งสองไม่ได้ร่วมกันลักทรัพย์ของโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์ร่วม โจทก์ร่วมได้รับของกลางคืนไปแล้ว จึงไม่ได้รับความเสียหาย และค่าเสียหายสูงเกินจริง ค่าเสียหายที่แท้จริงไม่เกิน 5,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษากลับเป็นว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) (7) (10) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 จำคุกคนละ 3 ปี
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า โจทก์ไม่มีประจักษ์พยานเบิกความยืนยันว่าจำเลยทั้งสองอยู่ในที่เกิดเหตุและเป็นคนร้าย คำให้การชั้นสอบสวนของนายสุมลและนายอโนชา เป็นพยานซัดทอดกับพยานหลักฐานของโจทก์มีข้อพิรุธสงสัยและขัดแย้งรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 กับพยานอ้างฐานที่อยู่ของจำเลยทั้งสองมีน้ำหนักรับฟังได้นั้น เห็นว่า เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 1 ได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงดังกล่าวไว้ชอบด้วยเหตุผลแล้วและไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ภาค 1 ฎีกาของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นสาระอันควรแก่การพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับคดีไว้พิจารณาพิพากษาตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 มาตรา 219 วรรคสอง และพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง
อนึ่ง สายโทรศัพท์ที่จำเลยทั้งสองร่วมกันลักเป็นทรัพย์ของโจทก์ร่วมที่มีไว้ใช้ให้บริการแก่ลูกค้าไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้หรือมีไว้เพื่อสาธารณประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (10) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ปรับบทลงโทษตามมาตรา 335 (10) จึงไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกายกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
พิพากษาแก้เป็นว่า ไม่ปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (10) นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1