คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2955/2548

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ในระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่จำเลยได้ก่อขึ้นในระหว่างสมรส แม้ตอนที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ผู้ร้องจะมิได้ร่วมอยู่ด้วยและไม่ปรากฏว่าจำเลยนำเงินกู้มาใช้ในกิจการใดก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องขับรถยนต์พาจำเลยไปที่บ้านโจทก์หลายครั้งและผู้ร้องขอผัดผ่อนการชำระหนี้เงินกู้รายนี้ เมื่อโจทก์ทวงถาม พฤติการณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเชื่อได้ว่าผู้ร้องได้ร่วมรู้เห็นและยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ถือได้ว่าผู้ร้องให้สัตยาบันหนี้ดังกล่าวแล้ว หนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1490 (4) ผู้ร้องต้องร่วมรับผิดกับจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จากบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดบ้านดังกล่าว

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้ยืมเงิน 600,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ แต่จำเลยไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านเลขที่ 205 จังหวัดเพชรบุรี ขายทอดตลาดชำระหนี้แก่โจทก์ตามคำพิพากษา
ผู้ร้องยื่นคำร้องว่า ผู้ร้องเป็นสามีของจำเลยและเป็นเจ้าของรวมในบ้านพิพาทที่โจทก์นำยึด ผู้ร้องไม่มีส่วนรู้เห็นหนี้สินของจำเลยในคดีนี้ ขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดบ้านพิพาทแก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่ง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า ผู้ร้องมิใช่สามีของจำเลย บ้านพิพาทเป็นบ้านที่จำเลยปลูกด้วยสินเดิมของจำเลย ผู้ร้องทราบเรื่องที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ผู้ร้องเป็นสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลย จำเลยเป็นหนี้กู้ยืมเงินโจทก์ตามคำพิพากษาแล้วไม่ชำระ โจทก์จึงนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดบ้านพิพาท ซึ่งเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลยขายทอดตลาด มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดบ้านพิพาทหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามพยานหลักฐานของโจทก์ว่า จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ในระหว่างที่จำเลยกับผู้ร้องเป็นสามีภริยากัน หนี้ดังกล่าวจึงเป็นหนี้ที่จำเลยได้ก่อขึ้นในระหว่างสมรส แม้ตอนที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ผู้ร้องจะมิได้ร่วมอยู่ด้วยและไม่ปรากฏว่าจำเลยนำเงินกู้มาใช้ในกิจการใดก็ตาม แต่การที่ผู้ร้องขับรถยนต์พาจำเลยไปที่บ้านโจทก์หลายครั้งและผู้ร้องขอผัดผ่อนการชำระหนี้เงินกู้รายนี้เมื่อโจทก์ทวงถาม พฤติการณ์ของผู้ร้องดังกล่าวเชื่อได้ว่าผู้ร้องได้ร่วมรู้เห็นและยินยอมให้จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ ถือได้ว่าผู้ร้องให้สัตยาบันหนี้ดังกล่าวแล้วหนี้รายนี้จึงเป็นหนี้ร่วมระหว่างผู้ร้องกับจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 (4) ผู้ร้องจะต้องร่วมรับผิดกับจำเลยชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับชำระหนี้จากบ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรสได้ทั้งหมด ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอให้กันส่วนเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดบ้านดังกล่าว”
พิพากษายืน

Share