แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินร่วมกันโดยยังมิได้แบ่งแยกสัดส่วนแน่นอน โจทก์ทำสัญญาให้จำเลยเช่าที่ดินส่วนของโจทก์ต่อมาเมื่อสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้ว โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไป โจทก์ก็ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลย การที่ศาลยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่ จึงสมควรที่จะกำหนดในคำพิพากษาว่า ไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินตามใบรับแจ้งขอมีสิทธิในที่ดินเลขที่ 823 หมู่ที่ 1 ตำบลบ่อทอง อำเภอโคกสำโรง จังหวัดลพบุรี เนื้อที่ 30 ไร่ จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ในราคา 31,000 บาท และสละการครอบครองโดยส่งมอบการครอบครองให้โจทก์ โจทก์ได้ยึดถือที่ดินดังกล่าวโดยเจตนายึดถือเพื่อตนนับแต่วันทำสัญญาซื้อขาย ในวันเดียวกันนั้นเองจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินดังกล่าวจากโจทก์ มีกำหนด 1 ปี ค่าเช่า 3,000 บาทหลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นบุตรของจำเลยที่ 1 ได้ทำประโยชน์ในที่ดินนั้น ต่อมาจำเลยทั้งสองร่วมกันใช้สิทธิโดยไม่สุจริต โดยจำเลยที่ 2 ได้ยื่นคำร้องต่อเจ้าพนักงานที่ดินอำเภอโคกสำโรงเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ โจทก์ได้คัดค้านและไม่ประสงค์จะให้จำเลยที่ 1 เช่าที่ดินดังกล่าวอีกต่อไป ขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองและบริวารออกไปจากที่ดินดังกล่าวและส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวคืนโจทก์กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าเสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 1 ไม่เคยขายที่ดินตามฟ้องให้โจทก์ ไม่เคยทำสัญญาเช่าที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 1 เคยเช่าที่ดินแปลงอื่นของโจกท์โดยโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อในสัญญาเช่าที่ไม่ได้กรอกข้อความไว้ แต่ครบกำหนดการเช่าและจำเลยที่ 1 ได้ออกจากที่ดินที่เช่าแล้ว จำเลยที่ 2 เป็นบุตรจำเลยที่ 1 ได้ครอบครองทำประโยชน์ที่ดินตามฟ้องมาเป็นเวลากว่า 14 ปีแล้ว จำเลยที่ 2 ไปยื่นคำร้องขอออกน.ส. 3ก เอง จำเลยที่ 1 มิได้รู้เห็นเกี่ยวข้องด้วยค่าเสียหายที่โจทก์เรียกสูงเกินความจริง ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมและขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมศาลอุทธรณ์อนุญาตให้จำเลยที่ 2 เข้าเป็นคู่ความแทน
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยมีว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องจำเลยทั้งสองหรือไม่ ทางพิจารณาที่โจทก์นำสืบปรากฏว่า ที่ดินแปลงที่โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองมีเนื้อที่ 67 ไร่ เดิมเป็นของจำเลยที่ 1 แต่ผู้เดียว โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากที่ดินพิพาทเพียง 30 ไร่ ในจำนวน 67 ไร่นี้ ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทกื คือ จำเลยที่ 1 ครอบครองแทนโจทก์ โดยจำเลยที่ 1แบ่งขายที่ดินจำนวน 30 ไร่ ให้แก่โจทก์ และเช่าที่ดินของโจทก์จำนวน 30 ไร่ นั้นทำไร่ ดังนั้น แม้จะฟังว่าเป็นความจริงดังที่โจทก์นำสืบ โจทก์กับจำเลยที่ 1 ก็เป็นเจ้าของที่ดิน 67 ไร่ร่วมกัน เพราะได้ความจากคำเบิกความของโจทก์เองว่า ยังมิได้มีการแบ่งแยกที่ดินพิพาท 30 ไร่ ออกมาเป็นสัดส่วนแน่นอน และแม้จำเลยที่ 1 จะยกที่ดินจำนวน 34 ไร่ให้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำขอออก น.ส. 3กแล้ว ก็ถือไม่ได้ว่าเป็นการแบ่งแยกออกเป็นสัดส่วนเช่นกัน การครอบครองของจำเลยที่ 1 นอกจากจะครอบครองแทนโจทก์แล้วยังเป็นการครอบครองโดยอาศัยสิทธิของตนเองด้วยอีกสถานหนึ่งพร้อม ๆ กันตราบใดที่ยังไม่มีแบ่งแยกการครอบครองที่ดินทั้ง 67 ไร่ ออกเป็นสัดส่วน โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างก็มีสิทธิเท่าเทียมกันในการที่จะครอบครองใช้ประโยชน์ในที่ดินทั้งแปลง การฟ้องขับไล่ในคดีนี้มีผลเท่ากับโจทก์ได้ฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินทั้ง 67 ไร่ อันเป็นการลบล้างสิทธิครอบครองของจำเลยที่ 1 ที่มีอยู่ด้วย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จำเลยที่ 1 จะเช่าที่ดินในส่วนของโจทก์ และสัญญาเช่าสิ้นสุดลงแล้วโจทก์ก็ไม่อาจอาศัยสิทธิตามสัญญาเช่ามาฟ้องขับไล่จำเลยที่ 1 ได้ เพราะเป็นการขับไล่จำเลยที่ 1 ออกจากที่ดินของจำเลยที่ 1 เองด้วย โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันทำละเมิดแย่งการครอบครองที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยที่ 1 มีสิทธิอยู่ในที่ดินพิพาทจำเลยที่ 2 ก็ยอมมีสิทธิอยู่ในที่ดินดังกล่าวได้โดยถือว่าอยู่ดดยอาศัยสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องของโจทก์นั้นชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม การยกฟ้องโจทก์ในกรณีเช่นนี้เป็นการยกฟ้องเกี่ยวกับอำนาจฟ้องโดยมิได้วินิจฉัยประเด็นข้อพิพาทที่โจทก์ยกขึ้นอ้างอาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในการฟ้องคดีของโจทก์ว่ามีอยู่จริงหรือไม่เพียงใด จึงสมควรที่จะไม่ตัดสิทธิของโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 148(3)”
พิพากษายืน แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะนำคำฟ้องมายื่นใหม่ภายในอายุความ.