คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2507

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกู้เงินโจทก์ 2,000 บาท โจทก์ให้จำเลยลงชื่อในแบบพิมพ์สัญญากู้เงินโดยข้อความอื่น ๆ ยังไม่ได้กรอกลง ภายหลังโจทก์กรอกจำนวนเงินกู้ลงว่าจำเลยกู้โจทก์ 8,500 บาท สัญญากู้นี้จึงเป็นเอกสารปลอม ผู้ใดจะกล่าวอ้างแสวงสิทธิจากเอกสารนี้มิได้ คือโจกท์จะอ้างสัญญากู้นี้เป็นพยานไม่ได้ โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานการกู้เป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องเรียกเงินกู้จากจำเลยตามสัญญากู้จำนวนเงิน ๘,๕๐๐ บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยรวม ๑๓,๖๐๐
จำเลยให้การว่า จำเลยได้เอาเงินโจทก์ไป ๒,๐๐๐ บาท โจทก์จึงให้จำเลยลงลายมือชื่อในช่องผู้กู้ในแบบพิมพ์สัญญากู้ยืมเงินโดยไม่ได้กรอกข้อความอย่างใดลงไว้อีก ที่ปรากฎว่าจำเลยกู้เงินโจทก์ตามหนังสือสัญญากู้ท้ายฟ้อง จึงเป็นการปลอม
ศาลชั้นต้นฟังข้อเท็จจริงตามข้อต่อสู้ของจำเลย วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานแห่งการกู้เป็นหนังสือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ พิพากษายกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังข้อเท็จจริงเช่นเดียวกับศาลชั้นต้น แต่เห็นว่าเมื่อจำเลยรับว่าได้กู้เงินโจทก์ไป ๒,๐๐๐ บาท โจทก์ไม่ต้องอาศัยสัญญากู้ก็ได้ พิพากษาแก้ให้จำเลยใช้หนี้โจทก์ ๒,๐๐๐ บาท
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ตามข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ฟังต้องกันมานั้นปรากฎว่าโจทก์ได้กรอกจำนวนเงินมากไปกว่าที่จำเลยตกลงขอกู้และลงลายมือชื่อให้ไว้ ในสัญญากู้ที่ผู้ให้กู้กรอกข้อความ จึงทำให้เอกสารนั้นเป็นเอกสารปลอม ผู้ใดจะกล่าวอ้างแสวงสิทธิจากเอกสารเช่นนั้นหาได้ไม่ กล่าวคือ โจทก์จะอ้างเอกสารนั้นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีอย่างใดย่อมไม่ได้ ซึ่งเท่ากับว่าคดีโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องบังคับคดีได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๕๓ นั่นเอง
พิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share