แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีก่อนที่ ช. ฟ้องโจทก์กับพวกเป็นจำเลยมีประเด็นพิพาทว่าที่ดินพิพาทเป็นของ ช. หรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของ ช. ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ช. ถึงแก่ความตาย จำเลยขอเข้าเป็นคู่ความแทนในฐานะทายาทของ ช. และศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยชี้ขาดว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันคู่ความคือโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิในฐานะทายาทของ ช. มิให้โต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกับโจทก์อีก ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 145 วรรคหนึ่ง และจำเลยในฐานะผู้สืบสิทธิของ ช. จะโต้เถียงโดยให้การและฟ้องแย้งในคดีนี้ว่า จำเลยแย่งการครอบครองและได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนมีการฟ้องคดีเดิมไม่ได้ เพราะเป็นการกล่าวอ้างให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงขัดกับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีเดิมที่วินิจฉัยว่า ในช่วงเวลาพิพาทในคดีเดิมโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยชอบที่จะกล่าวอ้างการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ได้ก็แต่เมื่อเป็นการกระทำภายหลังมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิมแล้ว แต่โจทก์ฟ้องคดีนี้ภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีเดิมเพียง 4 เดือนเศษ จำเลยย่อมไม่มีทางได้สิทธิครอบครองโดยการแย่งการครอบครองตามที่อ้าง
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 ออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1976 ให้จำเลยส่งมอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย และให้จำเลยชำระค่าเสียหายเดือนละ 10,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้องและฟ้องแย้งขอให้พิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1976 เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ในส่วนที่ปลูกบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 ให้โจทก์แบ่งแยกที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยในฐานะทายาทของนายชบ โดยโจทก์เป็นผู้เสียค่าใช้จ่าย หากโจทก์ไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา หากจำเลยเสียค่าใช้จ่ายในการแบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ชำระคืนแก่จำเลย
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยรื้อถอนบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 ออกจากที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1976 และส่งมอบการครอบครองที่ดินพิพาทแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อย ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เดือนละ 4,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปหรือจนกว่าจำเลยจะรื้อถอนบ้านดังกล่าวออกจากที่ดินพิพาท กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ยกฟ้องแย้ง ค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนฟ้องแย้งให้เป็นพับ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าทนายความในศาลชั้นต้น 5,000 บาท และใช้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า โจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1976 โดยซื้อมาจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2548 นายชบ บิดาจำเลยปลูกสร้างบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 บนที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวเนื้อที่ 19 ตารางวา เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2548 นายชบฟ้องนายยุทธเป็นจำเลยที่ 1 ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) เป็นจำเลยที่ 2 และโจทก์เป็นจำเลยที่ 3 ต่อศาลชั้นต้นเป็นคดีหมายเลขดำที่ 557/2548 ขอให้พิพากษาว่านายชบเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทและเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1975 และ 1976 เฉพาะส่วนที่ทับที่ดินพิพาท เพิกถอนสัญญาจำนองที่ดินและสัญญาซื้อขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1975 และ 1976 ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง นายชบอุทธรณ์ ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 นายชบถึงแก่ความตาย ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยเข้าเป็นคู่ความแทนที่นายชบ และวินิจฉัยว่าการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1975 และ 1976 ไม่ได้ทับที่ดินของนายชบ พิพากษายืน จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกาตามคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 17533/2557
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า คำพิพากษาคดีเดิมมีผลผูกพันจำเลยหรือไม่ และจำเลยได้สิทธิครอบครองโดยการแย่งการครอบครองหรือไม่ เห็นว่า คดีก่อนที่นายชบฟ้องนายยุทธ ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และโจทก์เป็นจำเลยที่ 1 ถึงที่ 3 ตามลำดับ อ้างว่านายยุทธนำรังวัดที่ดินเพื่อขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1975 และ 1976 รุกล้ำเข้ามาทับที่ดินของนายชบซึ่งเป็นที่ดินพิพาทที่นายชบปลูกสร้างบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 บนที่ดิน และโจทก์ซื้อที่ดินทั้งสองแปลงจากธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) โดยไม่สุจริต นายยุทธให้การต่อสู้ว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายยุทธ ต่อมาได้ส่งมอบการครอบครองให้แก่ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) แล้วธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) ขายต่อให้โจทก์ ในคดีก่อนจึงมีประเด็นพิพาทว่า ที่ดินพิพาทเป็นของนายชบหรือไม่ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าที่ดินพิพาทมิใช่ของนายชบ นายชบอุทธรณ์ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 8 นายชบถึงแก่ความตาย จำเลยยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนในฐานะทายาทของนายชบ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า นายยุทธไม่ได้นำรังวัดออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 1975 และ 1976 ทับที่ดินของนายชบ ไม่มีเหตุที่จะเพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของนายยุทธทั้งสองแปลง การจดทะเบียนจำนองระหว่างนายยุทธกับธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) และการซื้อขายที่ดินระหว่างธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) กับโจทก์ชอบด้วยกฎหมาย เท่ากับศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายกฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวย่อมมีผลผูกพันคู่ความคือโจทก์และจำเลยซึ่งเป็นผู้สืบสิทธิในฐานะทายาทของนายชบมิให้โต้เถียงสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทกับโจทก์อีก ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคหนึ่ง และจำเลยในฐานะผู้สืบสิทธิของนายชบจะโต้เถียงโดยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยแย่งการครอบครองและได้สิทธิครอบครองที่ดินพิพาทมาก่อนมีการฟ้องคดีเดิม เนื่องจากนายชบ บิดาจำเลยเข้าครอบครองทำประโยชน์ที่ดินพิพาทของโจทก์เนื้อที่ประมาณ 30 ตารางวา ตั้งแต่ปี 2520 โดยปลูกสร้างบ้านเลขที่ 85/1 ถึง 85/15 ให้บุคคลอื่นเช่า ปี 2538 นายชบให้จำเลยครอบครองบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 โดยเปิดเป็นร้านขายข้าวแกงและกาแฟอย่างเปิดเผยและด้วยเจตนาเป็นเจ้าของจนถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า 1 ปี ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคัดค้าน โจทก์มิได้ฟ้องเรียกคืนการครอบครองภายใน 1 ปี ก็ไม่ได้ เพราะเป็นการกล่าวอ้างให้ศาลรับฟังข้อเท็จจริงขัดกับข้อเท็จจริงตามคำพิพากษาคดีเดิมที่วินิจฉัยว่า ในช่วงเวลาพิพาทในคดีเดิมโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาท จำเลยชอบที่จะกล่าวอ้างการแย่งการครอบครองที่ดินพิพาทจากโจทก์ได้ก็แต่เมื่อเป็นการกระทำภายหลังมีการอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิมแล้ว แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีเดิมเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2558 และโจทก์ฟ้องคดีนี้เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2558 อันเป็นเวลาภายหลังศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาคดีเดิมเพียง 4 เดือนเศษ เท่านั้น จำเลยย่อมไม่มีทางได้สิทธิครอบครองโดยการแย่งการครอบครองตามที่อ้าง เมื่อข้อเท็จจริงฟังว่าโจทก์เป็นเจ้าของผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทตามคำพิพากษาศาลฎีกาในคดีเดิม โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายว่า ค่าเสียหายที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดให้โจทก์เดือนละ 4,000 บาท สูงเกินไปหรือไม่ เห็นว่า ที่ดินพิพาทเนื้อที่ 19 ตารางวา มีบ้านสองหลังตั้งอยู่คือบ้านเลขที่ 85/9 และ 85/10 ด้านหน้าติดถนนอยู่ในย่านชุมชนและการค้าที่มีความเจริญ การคมนาคมสะดวก มีอาคารพาณิชย์ปลูกติดต่อกันหลายคูหา ถือว่าที่ดินพิพาทอยู่ในย่านที่มีความเจริญ ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 4,000 บาท เหมาะสมแล้ว ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ