คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1968/2562

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

การนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว คดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้ แต่คดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 ภายหลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาคดีนี้ กรณีจึงไม่อาจนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยได้ จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสียก่อน ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเสียใหม่เป็นไม่นับโทษต่อจึงชอบแล้ว และไม่ถือว่าเป็นการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องของการบังคับคดีที่ศาลจะต้องออกหมายบังคับคดีถึงที่สุดให้ถูกต้อง

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 138, 140, 190, 289, 296 โดยในส่วนของจำเลยที่ 1 ขอให้นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1932/2555 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 2735/2555 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เมื่อวันที่ 11 มีนาคม 2556 ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 โดยให้จำคุก 5 ปี นับโทษจำคุกต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1932/2555 ของศาลชั้นต้น คำขออื่นให้ยก จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบา ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นให้ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 2 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โดยศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2556 คดีถึงที่สุด ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ที่ 1537/2556 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2556 แก่จำเลยที่ 1 โดยหมายระบุให้นับโทษจำคุกต่อจากโทษในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1932/2555 ของศาลชั้นต้น
เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2560 จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้แก้ไขหมายจำคุกคดีถึงที่สุดเสียใหม่โดยไม่นับโทษต่อและให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 11 มีนาคม 2556 ซึ่งเป็นวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา โดยหักวันที่จำเลยที่ 1 ต้องขังมาแล้ว 49 วัน
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
จำเลยที่ 1 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับเป็นว่า ให้เพิกถอนหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด ที่ 1537/2556 ลงวันที่ 23 ธันวาคม 2556 โดยให้ศาลชั้นต้นออกหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดให้แก่จำเลยที่ 1 ใหม่ โดยให้นับโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2556 และคดีถึงที่สุดเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2556
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดชอบแล้วหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และมีคำขอให้นับโทษต่อจากคดีอื่น ซึ่งการนับโทษต่อจากสำนวนคดีเรื่องใดจะต้องปรากฏว่าคดีเรื่องนั้นศาลได้พิพากษาลงโทษจำเลยไว้ก่อนแล้ว เมื่อศาลพิพากษาคดีเรื่องหลังจึงจะนับโทษต่อจากกำหนดโทษในสำนวนคดีเรื่องก่อนได้ คดีนี้ปรากฏตามสำเนาคำพิพากษาที่จำเลยที่ 1 แนบมาท้ายคำร้องว่า คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1932/2555 ที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อนั้น ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2557 โดยให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปี 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท ซึ่งเห็นได้ว่าวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาในคดีดังกล่าวเป็นเวลาภายหลังจากศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 6 มีคำพิพากษาคดีนี้ กรณีจึงไม่อาจที่จะนับโทษคดีนี้ต่อจากโทษในคดีดังกล่าวได้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏชัดแจ้งพอที่จะวินิจฉัยได้จึงไม่มีความจำเป็นที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 จะต้องสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนคำร้องเสียก่อน การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาให้แก้ไขหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดเสียใหม่เป็นไม่นับโทษต่อจากคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1932/2555 จึงชอบแล้ว โดยกรณีนี้ไม่ถือเป็นการแก้ไขหรือเป็นการเปลี่ยนแปลงคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแต่อย่างใด เพราะเป็นเรื่องการบังคับคดีที่ศาลจะต้องออกหมายบังคับคดีถึงที่สุดให้ถูกต้อง ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share