คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2829/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

สัญญาจะซื้อขายระบุว่า ส. ขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา14,000 บาท เงินจำนวนนี้ผู้ขายได้รับจากโจทก์ไปครบถูกต้องแล้วแต่วันทำสัญญา การที่จำเลยนำสืบว่าในวันทำสัญญาจะซื้อขายผู้ขายได้รับเงินค่าที่พิพาทเพียง 2,500 บาท รวมกับเงินที่ผู้ขายและจำเลยที่ 1 กู้โจทก์ไปสองคราวจำนวน 1,300 บาท เป็นเงินเพียง 3,800บาทนั้น เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสาร ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 94

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อ พ.ศ. 2509 นายสิงห์ซึ่งเป็นสามีของจำเลยที่ 1 และเป็นบิดาของจำเลยที่ 2 ได้แบ่งขายนาให้โจทก์ในราคา 14,000 บาท แล้วได้มอบให้โจทก์เข้าครอบครองตั้งแต่วันทำสัญญาหลังจากนายสิงห์ตายเมื่อ พ.ศ. 2513 โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยทั้งสองไปทำนิติกรรมโอนนาที่ตกลงซื้อขายกันให้โจทก์ จำเลยได้ไปยื่นเรื่องราวขอรับมรดก และยื่นคำร้องขอรับรองการทำประโยชน์ พร้อมทั้งยื่นเรื่องราวขอจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมแบ่งขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ แต่เมื่อทางอำเภอได้ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินให้จำเลยแล้ว จำเลยไม่ยอมลงชื่อในนิติกรรมโอนสิทธิในที่นาที่นายสิงห์ตกลงขายให้โจทก์ จึงขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยทำนิติกรรมโอนสิทธินาที่นายสิงห์ตกลงขายให้โจทก์ หากไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย ถ้าไม่สามารถทำนิติกรรมโอนสิทธินาดังกล่าวได้ ให้จำเลยคืนเงิน 14,000 บาทให้โจทก์

จำเลยทั้งสองให้การว่า นายสิงห์ไม่ได้ขายนาให้โจทก์ ไม่เคยรับเงินตามสัญญามูลหนี้ในคดีนี้เกิดจากนายสิงห์และจำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไปสามคราว รวมเป็นเงิน 3,800 บาท โจทก์ให้ทำเป็นสัญญาซื้อขาย และลงจำนวนเงินกันโกงไว้ 14,000 บาท โจทก์เข้าทำนาต่างดอกเบี้ย มิใช่เข้าทำในฐานะผู้ซื้อ วันนัดทำนิติกรรมโจทก์ไม่ยอมชำระเงิน 10,200 บาทให้จำเลย จำเลยจึงไม่ยอมทำนิติกรรมโอนที่นาให้โจทก์

ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า นายสิงห์ได้ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา 14,000 บาท และได้รับเงินค่าที่พิพาทไปครบถ้วนแล้ว พิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่พิพาทให้โจทก์ภายใน 1 เดือน หากไม่ปฏิบัติ ให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลยถ้าไม่สามารถโอนได้ ให้ชำระเงิน 14,000 บาท ให้โจทก์

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยทั้งสองฎีกาเพียงว่า โจทก์ชำระเงินค่าที่พิพาทยังไม่ครบ

ศาลฎีกาเห็นว่า สัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.1 ระบุว่านายสิงห์ขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคา 14,000 บาท เงินจำนวนนี้ผู้ขาย (นายสิงห์) ได้รับจากผู้ซื้อ (โจทก์) ไปครบถูกต้องแล้วแต่วันทำหนังสือสัญญา การที่จำเลยทั้งสองนำสืบว่าในวันทำสัญญาจะซื้อขายตามเอกสารหมาย จ.1 นายสิงห์ได้รับเงินค่าที่พิพาทเพียง 2,500 บาท รวมกับเงินที่นายสิงห์และจำเลยที่ 1 กู้โจทก์ไปสองคราว จำนวน 1,300 บาท เป็นเงินเพียง 3,800 บาทนั้นเป็นการนำพยานบุคคลมาสืบเพื่อเปลี่ยนแปลงแก้ไขข้อความในเอกสารหมาย จ.1 ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 และตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 1710/2500 ระหว่างนางสงวน ขาวเน โจทก์ นายหวาน พ่วงพรม จำเลย และคำพิพากษาฎีกาที่ 2216/2515 ระหว่างนางสาวถาวร นิตตะโย โจทก์ นางถาวัลย์ นิตตะโยหรือวันทา เรืองวิเศษทรัพย์จำเลย จึงต้องฟังว่านายสิงห์ได้รับเงินค่าที่พิพาทไปจากโจทก์ 14,000 บาทครบถ้วนแล้วดังที่ระบุไว้ในสัญญาจะซื้อขายเอกสารหมาย จ.1

พิพากษายืน

Share