คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1042/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลย ตามกรมธรรม์ประกันภัยมีว่า โจทก์จะใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกรายหนึ่ง ๆ ไม่เกิน 10,000 บาท รถยนต์ของจำเลยคันนั้นได้ชนกับรถยนต์คันอื่น ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดชอบ โจทก์ได้ซ่อมรถคันที่ถูกชนนั้นสิ้นเงินไป 25,000 บาท ขอให้จำเลยใช้เงิน 15,000 บาทที่โจทก์จ่ายเกินไปให้โจทก์ ดังนี้ บุคคลภายนอกผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับเงินค่าซ่อมรถจากโจทก์เป็นจำนวนเท่าที่โจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันไว้ในกรมธรรม์ ส่วนจำนวนที่ยังขาดอยู่นั้นชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยใช้ให้ โจทก์ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะจ่ายเงินค่าซ่อมรถให้ผู้ต้องเสียหายเกินกว่าความรับผิดของตนซึ่งจำกัดไว้เพียง 10,000 บาท แต่เมื่อได้จ่ายไปแล้ว แม้จำเลยจะไม่ได้มอบหมายให้จัดการแทนก็ตาม ก็ย่อมเป็นผลทำให้หนี้ค่าซ่อมรถที่ยังขาดอยู่นั้นระงับไป และจำเลยหลุดพ้นความรับผิดต่อผู้ต้องเสียหาย จึงอาจสมประโยชน์ของจำเลยซึ่งเป็นตัวการและต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการหรือความประสงค์ตามที่จะพึงสันนิษฐานได้ กรณีตามฟ้องเป็นเรื่องจัดการงานนอกสั่งที่อาจจะก่อให้เกิดหนี้ที่ผูกพันจำเลยให้ต้องชดใช้เงินที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการได้ออกทดรองจัดการงานให้จำเลยไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 401 โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย ศาลชอบที่จะรับฟ้องไว้พิจารณา

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์ของจำเลยคันหมายเลขทะเบียน น.ม.๐๓๖๒๐ มีข้อตกลงในกรมธรรม์ประกันภัย ข้อ ๕ ว่า โจทก์จะใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่บุคคลภายนอกรายหนึ่ง ๆ ไม่เกิน ๑๐,๐๐๐ บาท แต่เมื่อรวมแล้วไม่เกิน ๕๐,๐๐๐ บาท ในระหว่างอายุสัญญาประกันภัย รถยนต์ของจำเลยคันดังกล่าวชนกับรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.บ.๐๔๓๒๐ ซึ่งจำเลยจะต้องรับผิดชอบ โจทก์ได้ซ่อมรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.บ.๐๔๓๒๐ สิ้นเงินไป ๒๕,๐๐๐ บาท ขอให้ศาลพิพากษาบังคับจำเลยใช้เงินจำนวนนี้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วมีคำสั่งว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ วรรค ๒ บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนที่บุคคลผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับจากผู้รับประกันภัยโดยตรง หาอาจจะคิดเกินไปกว่าจำนวนอันผู้รับประกันภัยจะถึงต้องใช้ตามสัญญานั้นได้ไม่ จึงเป็นเรื่องที่โจทก์กระทำไปตามลำพังเอง จะให้จำเลยรับผิดต่อโจทก์หาได้ไม่ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ปัญหาว่าโจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินค่าซ่อมรถยนต์ส่วนที่เกินจากความรับผิดของตนจากจำเลยหรือไม่นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า บุคคลภายนอกซึ่งเป็นผู้ต้องเสียหายชอบที่จะได้รับเงินค่าซ่อมรถยนต์จากโจทก์เป็นจำนวนเท่าที่โจทก์กับจำเลยได้ตกลงกันไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย และชอบที่จะเรียกร้องให้จำเลยรับใช้เงินค่าซ่อมรถยนต์จำนวนที่ยังขาดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๘๘๗ เห็นได้ว่าโจทก์และจำเลยต่างต้องรับผิดต่อผู้ต้องเสียหายเป็นเงินคนละส่วนกัน และโจทก์กับจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ตามสัญญาประกันภัยค้ำจุนสำหรับเงินค่าซ่อมรถยนต์จำนวนที่ยังขาด เมื่อมีข้อสัญญาในกรมธรรม์ประกันภัย จำกัดความรับผิดของโจทก์ไว้เพียง ๑๐,๐๐๐ บาท โจทก์ก็ไม่มีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะจ่ายเงินค่าซ่อมรถยนต์ให้ผู้ต้องเสียหายเกินกว่าความรับผิดของตน แต่เมื่อได้จ่ายไปตามฟ้องแล้ว แม้จำเลยจะไม่ได้มอบหมายให้จัดการแทนก็ตาม ย่อมเป็นผลทำให้หนี้เงินค่าซ่อมรถยนต์จำนวนที่ยังขาดระงับไป และจำเลยหลุดพ้นความรับผิดต่อผู้ต้องเสียหาย จึงอาจสมประโยชน์ของจำเลยซึ่งเป็นตัวการ เพราะต้องตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือต้องตามความประสงค์ตามที่จะพึงสันนิษฐานได้ กรณีตามฟ้องจึงเป็นเรื่องจัดการงานนอกสั่งที่อาจจะก่อให้เกิดหนี้ที่ผูกพันจำเลยให้ชดใช้เงินที่โจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการได้ออกทดรองจัดการงานให้จำเลยไปคืนแก่ตนได้ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๐๑ โจทก์จึงมีสิทธิฟ้องจำเลย ชอบที่จะรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณาต่อไป
พิพากษาให้ยกคำสั่งและคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง และให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องโจทก์ได้ดำเนินการพิจารณาต่อไป.

Share