แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากห้องเช่าอันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ 2,000 บาทแม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่าที่ดินและห้องพิพาทเป็นของบุคคลอื่นไม่ใช่ของโจทก์ ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ยกข้อต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 เมื่อศาลชั้นต้น รับอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยไม่ปรากฏว่าผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้หรือรับรองให้อุทธรณ์ หรือได้รับอนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาภาคให้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงนั้น จึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้อเท็จจริงที่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ปัญหาที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเป็นการเกินคำขอหรือไม่ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยโจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายตามศาลชั้นต้นศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243, 247
ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นการละเมิด ทำให้โจทก์เสียหายขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยเดือนละ400 บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องเช่าของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ว่า “สำเนาให้จำเลย พิจารณาสั่งในวันนัด”หลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อมาจนเสร็จสำนวน โดยมิได้มีคำสั่งคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วแต่ประการใด และโจทก์ก็มิได้ทักท้วงขอให้ศาลมีคำสั่งคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ จึงไม่อาจถือว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ จึงเป็นการเกินคำขอที่มิได้กล่าวในฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
ย่อยาว
คดีทั้งสองสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้พิจารณาพิพากษารวมกัน
โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมฟ้องว่า จำเลยทั้งสองเช่าห้องแถวของโจทก์ เลขที่ ๓๓ และ ๓๗ ตามลำดับ โดยไม่มีกำหนดเวลาเช่าห้องแถวของโจทก์มีสภาพทรุดโทรมมาก อาจเกิดอันตรายได้ เทศบาลเมืองนครสวรรค์ได้มีหนังสือบังคับให้โจทก์รื้อและปลูกสร้างเป็นตึกตามแบบแปลนของเทศบาลโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าไปยังจำเลย จำเลยไม่ยอมออกจากห้องเช่า ขอให้ขับไล่จำเลยและบริวารออกไปจากห้องเช่าและให้ใช้ค่าเสียหายฐานละเมิดแต่ละห้องเดือนละ ๔๐๐ บาท จนกว่าจะออกไปจากห้องเช่าของโจทก์
จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เพราะโจทก์ไม่ได้รับความยินยอมจากสามี และโจทก์ไม่ใช่เจ้าของห้องเลขที่ ๓๓, ๓๗ ห้องพิพาทและที่ดินที่ปลูกห้องพิพาทเป็นของนางจู พันธ์พฤทธิ์จำเลยเช่ามาประมาณ ๒๐ ปีแล้ว ปัจจุบันจำเลยเสียค่าเช่าเดือนละ ๕๐ บาท ถ้าโจทก์รับโอนมาก็ต้องรับโอนมาทั้งสิทธิและหน้าที่ โจทก์ไม่เคยบอกเลิกการเช่าห้องพิพาทหนังสือบอกเลิกการเช่าท้ายฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เป็นเจ้าของห้องพิพาทและนายทวี มีระเสน สามีโจทก์ให้ความยินยอมในการฟ้องคดีแล้วโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง จำเลยทราบการบอกเลิกการเช่าของโจทก์แล้วไม่ออกจากห้องพิพาท เป็นการละเมิด พิพากษาขับไล่จำเลยและบริวารออกจากห้องพิพาท ให้จำเลยใช้ค่าเสียหายเดือนละ ๕๐ บาท นับแต่วันฟ้องจนถึงวันที่จำเลยกับบริวารออกจากห้องพิพาทให้โจทก์ ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมโดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนละ ๒๐๐ บาทแทนโจทก์
จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นการเกินคำขอท้ายฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องที่ขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยได้ห้องพิพาทตั้งอยู่ในโฉนดที่ ๑๖๔๔ เป็นของนางวีณา ได้รับโอนมาจากนางจู ไม่ใช่ของโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลชั้นต้นไม่อนุญาตให้เผชิญสืบห้องพิพาทและทำแผนที่ซึ่งจะปรากฏชัดว่าที่พิพาทอยู่ในโฉนดที่ ๑๖๔๔ เป็นการไม่ถูกต้อง และข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าโจทก์ได้รับความยินยอมจากสามีแล้ว
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้ววินิจฉัยว่า โจทก์นำสืบฟังไม่ได้ว่าห้องพิพาทเป็นของโจทก์ น่าเชื่อว่าห้องพิพาทอยู่ในที่ดินของนางวีณา ได้รับโอนมาจากนางจู ตามเอกสารที่จำเลยอ้าง พิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้ยกฟ้องโจทก์ ให้โจทก์เสียค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความให้สำนวนละ ๑๒๕ บาท
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาแล้ว คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นผู้เช่าออกจากห้องเช่า อันมีค่าเช่าในขณะยื่นคำฟ้องไม่เกินเดือนละ ๒,๐๐๐ บาท แม้จำเลยจะให้การต่อสู้ว่า ที่ดินและห้องพิพาทเป็นของบุคคลอื่น ไม่ใช่ของโจทก์ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ยกข้อต่อสู้เป็นข้อพิพาทด้วยกรรมสิทธิ์ คดีจึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๒๔ อุทธรณ์ของจำเลยทุกข้อเว้นแต่ในข้อที่ว่า ศาลชั้นต้นพิพากษาเกินคำขอ ล้วนเป็นอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง หรือนับเนื่องด้วยข้อเท็จจริงทั้งสิ้นที่ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงโดยไม่ปรากฏว่า ผู้พิพากษาที่นั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นได้ทำความเห็นแย้งไว้ หรือรับรองให้อุทธรณ์ หรือได้รับอนุญาตจากอธิบดีผู้พิพากษาภาคให้อุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยชี้ขาดข้อเท็จจริงว่าห้องพิพาทไม่ใช่ของโจทก์ จึงเป็นการฝ่าฝืนบทกฎหมายดังกล่าวแล้วถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้
สำหรับอุทธรณ์ในปัญหาข้อกฎหมายของจำเลยที่ว่าศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์เป็นการเกินคำขอ เพราะศาลยังมิได้มีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์แก้ไขเพิ่มเติมฟ้องที่ขอเรียกค่าเสียหายจากจำเลยนั้น ปัญหาข้อนี้ศาลอุทธรณ์มิได้ยกขึ้นวินิจฉัยและโจทก์ฎีกาขอให้บังคับจำเลยใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตามคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาข้อนี้ไปทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อนี้อีกตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๒๔๓, ๒๔๗
ในปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าว ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในชั้นพิจารณาของศาลชั้นต้นโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องจำเลยทั้งสองสำนวนตามคำร้องลงวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๑๓ ความว่าการกระทำของจำเลยเป็นการละเมิดทำให้โจทก์เสียหาย เพราะห้องเช่าของโจทก์ให้เช่าได้เดือนละ ๔๐๐ บาท จึงขอคิดค่าเสียหายจากจำเลยเดือนละ ๔๐๐ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยจะออกจากห้องเช่าของโจทก์ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคำร้องของโจทก์ว่า “สำเนาให้จำเลย พิจารณาสั่งในวันนัด”หลังจากนั้นศาลชั้นต้นได้ดำเนินกระบวนพิจารณาคดีต่อมาจนเสร็จสำนวนโดยมิได้มีคำสั่งคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์ดังกล่าวแล้วแต่ประการใดและโจทก์ก็มิได้ทักท้วงขอให้ศาลมีคำสั่งคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องของโจทก์จึงไม่อาจถือว่าศาลมีคำสั่งอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายให้โจทก์จึงเป็นการเกินคำขอที่มิได้กล่าวในฟ้องต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๔๒ ฎีกาของโจทก์เฉพาะปัญหาข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เว้นแต่ที่ให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหาย ให้ยกเสีย