คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 911/2517

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยใช้อุบายหลอกลวงเอาตัวผู้เสียหายไป แล้วมาหามารดาของผู้เสียหายเรียกเอาเงินค่าไถ่ตัวผู้เสียหาย เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 313 วรรคแรก เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยมีเจตนาเพื่อหากำไรด้วย จึงไม่เป็นความผิดตามมาตรา 319 อีกบทหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ จำเลยได้ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงเด็กหญิงอุดสา อายุ ๑๓ ปีเศษ ว่าจะพาไปทำงานรับจ้าง เป็นเหตุให้เด็กหญิงอุดสาหลงเชื่อยินยอมไปด้วย และจำเลยได้ร่วมกันพรากเด็กหญิงอุดสาไปจากบิดามารดาเพื่อหากำไรและหน่วงเหนี่ยวกักขังเด็กหญิงอุดสา ทั้งนี้เพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่ จำเลยได้ร่วมกันเรียกเอาเงินจากบิดามารดาของเด็กหญิงอุดสาเป็นเงิน ๓,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นค่าไถ่ตัวเด็กหญิงอุดสา ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓, ๓๑๘, ๓๑๙, ๘๓ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๑, ๑๒
จำเลยทุกคนให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓, ๓๑๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๑, ๑๒ แต่เห็นว่าการกระทำของจำเลยมุ่งค่าไถ่เป็นสำคัญ เป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓ ซึ่งเป็นบทหนักที่สุดจำคุกไว้คนละ ๑๕ ปี จำเลยที่ ๔ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๒ จำคุก ๑ ปี ปล่อยตัวจำเลยที่ ๓ พ้นข้อหาไป
จำเลยที่ ๑, ๒ และ ๔ อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ ๑ และ ๒ ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ และ ๒ ได้ร่วมกันใช้อุบายหลอกลวงเอาตัวผู้เสียหายไปเพื่อให้ได้มาซึ่งค่าไถ่จริง แต่ไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ มีเจตนาเพื่อหากำไรด้วย จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๙ จำเลยคงมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓ บทเดียว
พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยที่ ๑ และที่ ๒ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๑๓ วรรคแรก ตามที่ได้แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๑๑ ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share