แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดง โจทก์มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ว่า ความจริงโจทก์เป็นผู้ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อแทนจำเลย แต่ใบเสร็จรับเงินลงชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อตามระเบียบ ของห้างผู้ให้เช่าซื้อ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ 1 คันจากห้าง ช. โดยโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน ในวันทำสัญญาเช่าซื้อ โจทก์ได้ชำระเงินดาวน์ ค่าธรรมเนียม ค่าทะเบียน และค่าโอนรถแทนจำเลยไปเป็นเงิน 15,000 บาท ต่อมาจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ 4 งวด ค่าบริการ ค่าทะเบียนรถ ค่ายาง และค่าติดตาม รวมเป็นเงินทั้งหมด 37,000 บาท ที่จำเลยจะต้องชำระให้ห้าง ช. โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันได้จ่ายเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่ห้าง ช. ไปแล้ว ย่อมเข้ารับช่วงสิทธิให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์รวม 52,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์ไม่เคยชำระเงินใด ๆ แทนจำเลย โจทก์ไม่เคยแจ้งให้จำเลยทราบว่าได้ชำระเงินดังกล่าวแทนจำเลย
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 52,000 บาทให้โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ตามฟ้องเว้นแต่เงินค่าเช่าซื้อที่อ้างว่าชำระในวันทำสัญญาจำนวน 15,000 บาทแทนจำเลย และวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ที่จำเลยฎีกาว่า ใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.2 ระบุว่าจำเลยเป็นผู้ชำระเงิน โจทก์จะนำสืบพยานบุคคลแก้ไขเปลี่ยนแปลงว่าโจทก์เป็นผู้ชำระไม่ได้นั้น เห็นว่าการชำระเงินตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีกฎหมายบังคับว่าให้ต้องมีพยานเอกสารมาแสดงโจทก์มีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบประกอบข้ออ้างของตนได้ว่าความจริงโจทก์เป็นผู้ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อแทนจำเลย แต่ใบเสร็จรับเงินลงชื่อจำเลยซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อตามระเบียบของห้างหุ้นส่วนจำกัดผู้ให้เช่าซื้อ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์จำนวน 37,000 บาท