คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 869/2554

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

ป.วิ.อ. มาตรา 158 (7) เป็นบทบัญญัติที่บังคับให้โจทก์ ผู้เรียง และผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้องต้องลงลายมือชื่อไว้ตามที่แบบพิมพ์คำขอท้ายคำฟ้องอาญาได้กำหนดไว้แต่ตามแบบพิมพ์คำขอท้ายคำฟ้องอาญาของโจทก์เป็นสำเนาเอกสารที่ถ่ายเอกสารมาจากต้นฉบับคำขอท้ายคำฟ้องอาญาที่โจทก์ ผู้เรียง และผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้องได้ลงชื่อไว้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว และเมื่อฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเกิดเพราะความผิดพลาดทางเทคนิค ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อยจากเหตุที่คำขอท้ายคำฟ้องอาญาของโจทก์เป็นสำเนาเอกสารดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องที่ไม่ชอบนั้นได้ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งไว้ แต่ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยซึ่งศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 335, 336 ทวิ กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาดิน 119,000 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 จำคุก 4 ปี 6 เดือน ให้จำเลยร่วมกับจำเลยที่ 2 ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1907/2549 ของศาลชั้นต้น คืนดิน 17,000 ลูกบาศก์เมตร แก่ผู้เสียหายที่ 1 หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาดินเป็นเงิน 119,000 บาท แก่ผู้เสียหายที่ 1 ยกฟ้องข้อหาอื่น
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำขอท้ายฟ้องอาญาในคดีนี้เป็นเพียงสำเนาเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับที่โจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้องได้ลงลายมือชื่อไว้ ฟ้องของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) พิพากษากลับให้ยกฟ้อง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่า ฟ้องโจทก์ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (7) เป็นบทบัญญัติที่บังคับให้โจกท์ ผู้เรียง และผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้องต้องลงลายมือชื่อไว้ตามที่แบบพิมพ์คำขอท้ายคำฟ้องอาญาได้กำหนดไว้ แต่ตามแบบพิมพ์คำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้เป็นสำเนาเอกสารที่ถ่ายเอกสารมาจากต้นฉบับคำขอท้ายคำฟ้องอาญาที่โจทก์ ผู้เรียง และผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้องได้ลงชื่อไว้แล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่มีลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยบทบัญญัติดังกล่าว ที่โจทก์ฎีกาว่า ขั้นตอนการจัดทำและพิมพ์คำฟ้องของโจทก์จะพิมพ์ด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์แล้วพิมพ์คำฟ้องและคำขอท้ายฟ้องอาญาจากเครื่องพิมพ์ จากนั้นโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง จะลงลายมืชื่อในคำขอท้ายคำฟ้องอาญาทุกแผ่น แม้เป็นสำเนาคำฟ้องที่ส่งให้จำเลยก็ตาม จึงเป็นไปไม่ได้ที่คำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้จะเป็นสำเนาเอกสารที่ถ่ายจากต้นฉบับที่โจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ได้ลงลายมือชื่อไว้แล้วนั้น และเมื่อศาลชั้นต้นตรวจรับคำฟ้องของโจทก์และดำเนินกระบวนพิจารณาจนมีคำพิพากษาแล้ว แสดงว่า คำฟ้องรวมทั้งคำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้เป็นเอกสารต้นฉบับจริง เห็นว่า ข้ออ้างของโจทก์ดังกล่าวขัดกับคำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้ที่เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นสำเนาเอกสารที่ถ่ายเอกสารมาจากต้นฉบับคำขอท้ายคำฟ้องอาญา ทั้งการที่ศาลชั้นต้นตรวจรับคำฟ้องของโจทก์และดำเนินกระบวนพิจารณาจนมีคำพิพากษาแล้ว ก็มิใช่ข้อที่แสดงว่าคำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้จะเป็นต้นฉบับเอกสารเพราะขณะประทับฟ้องศาลชั้นต้นอาจไม่ได้ตรวจสอบคำขอท้ายคำฟ้องอาญาของโจทก์อย่างละเอียดก็ได้ และที่โจทก์ฎีกาว่า เหตุที่คำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้เป็นสำเนาเอกสารเกิดจากความผิดพลาดทางเทคนิค ซึ่งเป็นข้อผิดพลาดเล็กน้อย ทั้งจำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งในประเด็นดังกล่าว เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมขอให้ศาลฎีการับฟังว่าโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้องได้ลงลายมือชื่อในคำขอท้ายคำฟ้องอาญาในคดีนี้นั้น เห็นว่า เมื่อฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายไม่ว่าจะเกิดเพราะความผิดพลาดดังที่โจทก์ฎีกาหรือไม่ ศาลก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษจำเลยตามฟ้องที่ไม่ชอบนั้นได้ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์โต้แย้งไว้แต่ปัญหาว่าฟ้องโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ซึ่งศาลอุทธรณ์ภาค 2 มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share