คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 261/2534

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ร่วมกันพาผู้เสียหายซึ่งมีอายุ 14 ปีเศษและอยู่ในความดูแลของ ช. ออกจากบ้านโดยไม่ให้คนในบ้านรู้ แล้วจำเลยที่ 1 พาผู้เสียหายไปชำเราในป่ายางข้างทางและที่อื่น ๆ อีกหลายครั้ง หลังจากจำเลยที่ 1 ได้ร่วมประเวณีแล้วยังได้มอบผู้เสียหายให้ไปกับจำเลยที่ 2 ปล่อยให้จำเลยที่ 2ร่วมประเวณีอีกหลายคืน ถือได้ว่าเป็นการพรากเด็กไปเสียจากผู้ดูแลโดยปราศจากเหตุอันสมควรตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 317, 83 จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317 วรรคแรก,83 จำเลยที่ 1 อายุ 18 ปี ลดมาตราส่วนโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 4 ปีจำเลยที่ 2 จำคุก 6 ปี จำเลยที่ 2 นำสืบว่าได้พาผู้เสียหายไปพักตามบ้านญาติเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 จำคุก จำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 ปี จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เด็กหญิงบุญมา เย็นใจ ผู้เสียหายขณะเกิดเหตุมีอายุ14 ปีเศษ เป็นนักเรียนโรงเรียนท่าช้างวิทยาคาร พักอาศัยและอยู่ในความปกครองดูแลของนายชาญ น้ำใจสัตย์ เมื่อวันที่ 20 มีนาคม2531 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา จำเลยทั้งสองได้นำรถจักรยานยนต์ไปแอบรับผู้เสียหายไปดูภาพยนตร์ที่บ้านโพธิ์วังโดยไม่ให้คนในบ้านรู้ผู้เสียหายออกไปแล้วไม่กลับบ้าน โดยจำเลยที่ 2 พาไปนอนบ้านของคนรู้จักกันหลายแห่ง ทั้งในจังหวัดสิงห์บุรีและจังหวัดอ่างทองและจำเลยที่ 2 ได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายตามบ้านต่าง ๆ หลายครั้งครั้งสุดท้ายมาพักที่บ้านบิดาของจำเลยที่ 2 แล้วถูกนายชาญพาเจ้าพนักงานตำรวจมาจับจำเลยที่ 2 ได้ในวันที่ 14 เมษายน 2531และพาผู้เสียหายกลับส่วนจำเลยที่ 1 เข้ามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนในวันเดียวกัน สำหรับจำเลยที่ 2 คดียุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าได้กระทำความผิดฐานพรากเด็กไปเสียจากผู้ดูแลตามฟ้อง ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 มีว่า จำเลยที่ 1 ได้ร่วมกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่าโจทก์ผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความว่าในคืนเกิดเหตุจำเลยทั้งสองนำรถจักรยานยนต์มารับผู้เสียหายตามที่ผู้เสียหายได้นัดกับจำเลยที่ 1 ไว้ก่อนว่าจะพากันไปดูภาพยนตร์ที่บ้านโพธิ์วัง แต่ในระหว่างทางจำเลยที่ 1 ได้พาผู้เสียหายเดินเข้าป่ายางข้างทาง ให้จำเลยที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์ล่วงหน้าไปก่อน แล้วจำเลยที่ 1 ได้ชำเราผู้เสียหายในป่ายาง 1 ครั้ง เสร็จแล้วจึงพาผู้เสียหายไปพบจำเลยที่ 2ตามที่นัดไว้ จำเลยที่ 1 แยกกลับบ้านอ้างว่าจะไปเอาเสื้อผ้าให้จำเลยที่ 2 ขับขี่รถจักรยานยนต์พาผู้เสียหายไปพักที่บ้านนายทรงที่บ้านดอนสะเดา ในคืนนั้นจำเลยที่ 1 ได้ตามมาที่บ้านนายทรงและได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายด้วย เช้าวันรุ่งขึ้นก็กลับไป คืนต่อ ๆ มาจำเลยที่ 2 ได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายและพาผู้เสียหายย้ายไปอยู่บ้านอื่น ในที่สุดก็พามาอยู่ที่บ้านบิดาของจำเลยที่ 2 โดยจำเลยที่ 2 ได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายอีกหลายครั้ง ผู้เสียหายยืนยันว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นัดแนะจะพาผู้เสียหายไปเที่ยว และเป็นผู้เร่งให้ผู้เสียหายขึ้นรถเร็ว ๆเพราะกลัวว่านายชาญจะรู้ ทั้งเป็นผู้พาผู้เสียหายไปชำเราในป่ายางข้างทางและตามไปชำเราผู้เสียหายที่บ้านนายทรงด้วยจำเลยที่ 1 ก็รับว่าเคยมีความสัมพันธ์ทางชู้สาวกับผู้เสียหายไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายมีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 จึงไม่มีเหตุที่ผู้เสียหายจะปรักปรำว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้นัดจะพาไปเที่ยวเองและไม่มีเหตุที่จะต้องแกล้งปรักปรำว่าจำเลยที่ 1 ได้ร่วมประเวณีกับผู้เสียหายด้วยหากจำเลยที่ 1 เพียงแต่ไปดูภาพยนตร์ด้วยกันแล้วแยกกลับบ้านก่อน ทั้งโจทก์มีนายชัยวัฒน์ ปัญญาแหลม ญาติของผู้เสียหาย มีบ้านอยู่ใกล้กัน เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่าในคืนเกิดเหตุนายชัยวัฒน์ไปเฝ้าบ่อปลาห่างบ้านผู้เสียหาย7 เมตร เห็นชายคนหนึ่งขับขี่รถจักรยานยนต์ให้จำเลยที่ 1นั่งซ้อนท้ายมาที่บ้านผู้เสียหาย ผู้เสียหายออกมาพบคนทั้งสองที่ถนนคุยกันได้ 1 นาที จำเลยที่ 1 ก็ฉุดมือผู้เสียหายขึ้นรถพากันออกจากบ้านไปคืนนั้นผู้เสียหายไม่ได้กลับบ้านจนคนในบ้านต้องตามหานายชัยวัฒน์รู้จักจำเลยที่ 1 เรียนหนังสือโรงเรียนเดียวกันและชั้นเดียวกันถึง 3 ปี ไม่มีเรื่องโกรธเคืองกัน ไม่มีเหตุต้องแกล้งปรักปรำว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนฉุดผู้เสียหายขึ้นรถ คำเบิกความของนายชัยวัฒน์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือสนับสนุนคำเบิกความของผู้เสียหายที่ว่าจำเลยที่ 1 เป็นคนชักชวนผู้เสียหายไปเอง หาใช่เพียงแต่ตามจำเลยที่ 2 มา แล้วพากันไปดูภาพยนตร์ เสร็จแล้วจำเลยที่ 1ก็แยกกลับบ้าน มิได้เกี่ยวข้องกับผู้เสียหายอีกดังที่จำเลยที่ 1นำสืบ ทั้งข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 ก็ขัดกับบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 เองที่ให้การว่า ในคืนเกิดเหตุจำเลยที่ 1ไปงานบวชนาค แล้วก็กลับบ้านหาได้ให้การว่าจำเลยที่ 2 ชวนจำเลยที่ 1 ไปรับผู้เสียหายไปดูภาพยนตร์ เสร็จแล้วจึงแยกกลับดังที่นำสืบในชั้นศาลไม่ ข้อนำสืบของจำเลยที่ 1 จึงไม่น่าเชื่อถือการที่จำเลยที่ 1 ร่วมกันพาผู้เสียหายออกจากบ้านโดยไม่ให้คนในบ้านรู้ แล้วพาไปชำเราในป่ายางข้างทาง ทั้งที่ผู้เสียหายอายุเพียง 14 ปี กับอีก 1 เดือนเศษยังเป็นนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 เท่านั้น จำเลยที่ 1 เองก็ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 หลังจากตนเองได้ร่วมประเวณีแล้วยังได้มอบผู้เสียหายให้ไปกับจำเลยที่ 2 ปล่อยให้จำเลยที่ 2 ร่วมประเวณีผู้เสียหายอีกหลายคืน ถือได้ว่าเป็นการพรากผู้เสียหายไปโดยปราศจากเหตุอันสมควร ส่วนนายชาญแม้จะมิใช่ผู้ปกครองของผู้เสียหายแต่เป็นผู้ดูแลผู้เสียหายจำเลยที่ 1 จึงมีความผิดฐานร่วมพรากเด็กไปเสียจากผู้ดูแลตามฟ้อง”
พิพากษายืน

Share