คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4211-4212/2528

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นิติบุคคลซึ่งไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันวินาศภัยแต่ได้รับประกันวินาศภัยไว้เมื่อได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เอาประกันภัย นิติบุคคลนั้นจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ของตนเพื่อให้พ้นความรับผิดที่จะต้องชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่
การที่ผู้รับประกันภัยได้รับประกันวินาศภัยไว้จากผู้เอาประกันภัยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย สัญญาประกันภัยจะเป็นโมฆะก็ต่อเมื่อผู้เอาประกันภัยซึ่งเป็นคู่สัญญาได้ทราบถึงการไม่ได้รับอนุญาตนั้น เมื่อไม่ปรากฏว่าผู้เอาประกันภัยได้ทราบความดังกล่าว ผู้รับประกันภัยจึงต้องรับผิดตามสัญญาประกันภัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ ๑ เป็นสามีนางเฉวียง โจทก์ที่ ๒ เป็นสามีนางยิ้ม โจทก์ที่ ๓,ที่ ๔, ที่ ๕ เป็นมารดาและบิดานายเจตน์ นายฉลาด นายประยูร ตามลำดับ โจทก์ที่ ๖ เป็นผู้ขับขี่รถยนต์โดยสารคันหมายเลขทะเบียน ฉ.ช.๐๔๒๙๐ โจทก์ที่ ๗ เป็นเจ้าของรถยนต์โดยสารคันดังกล่าว เมื่อวันที่ ๒๔ กันยายน ๒๕๒๒ จำเลยที่ ๑ ซึ่งเป็นลูกจ้างได้ขับรถยนต์บรรทุก ๑๐ ล้อ คันหมายเลขทะเบียน น.ม. ๒๘๙๗๓ ในทางการค้าที่จ้างของจำเลยที่ ๒ โดยประมาทล้ำเส้นแบ่งกลางถนนและชนกับรถยนต์ของโจทก์ที่ ๗ เป็นเหตุให้ นางเฉวียง นางยิ้ม นายเจตน์ นายฉลาด นายประยูร ถึงแก่ความตายโจทก์ที่ ๖ ได้รับบาดเจ็บสาหัส และรถยนต์ของโจทก์ที่ ๗ ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ คนละ ๑๒,๐๐๐ บาท รวมเป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท และชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ที่ ๖ กับโจทก์ที่ ๗ เป็นเงิน ๑๑๐,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า จำเลยที่ ๑ ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ก็มิใช่เจ้าของผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ เหตุคดีนี้เกิดเพราะความประมาทของโจทก์ที่ ๖ จำเลยที่ ๒ ไม่เคยตกลงจะชำระเงินแก่ทายาทของผู้ตายทั้งห้า แต่เป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ กับบริษัทชานนท์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้รับประกันภัยค้ำจุนรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ม. ๒๘๙๗๓ จำเลยที่ ๒ จึงไม่ต้องรับผิด โจทก์ที่ ๖ เสียค่ารักษาพยาบาลไม่เกิน ๑,๐๐๐ บาท รักษาตัวไม่เกิน ๑๐ วัน รถยนต์คันหมายเลขทะเบียน ฉ.ช.๐๔๒๙๐ เสียหายเพียงเล็กน้อย ค่าซ่อมไม่เกิน ๑,๕๐๐ บาท ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ ๒ ขอให้เรียกบริษัทชานนท์ จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาลอนุญาต
จำเลยร่วมให้การว่า จำเลยร่วมไม่ได้เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถยนต์คันเกิดเหตุ แต่เป็นของบริษัทบางกอกอินเวสท์เมนท์ จำกัด ซึ่งให้จำเลยที่ ๒ เช่าซื้อจำเลยร่วมจึงไม่มีนิติสัมพันธ์กับโจทก์ จำเลยที่ ๒ ขอให้เรียกจำเลยร่วมเข้ามาในคดีโดยไม่สุจริตและไม่มีข้อเท็จจริงสนับสนุน จำเลยร่วมไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัยไม่มีเหตุผลที่จะเรียกจำเลยร่วมให้เข้ามาในคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๕๗ (๓) ขอให้ยกคำร้องจำเลยที่ ๒
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างและกระทำละเมิดในทางการที่จ้างของจำเลยที่ ๒ และจำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันหมายเลขทะเบียน น.ม.๒๘๙๗๓ ไว้แก่จำเลยร่วมจริง พิพากษาให้จำเลยทั้งสองและจำเลยร่วมชำระค่าเสียหายให้โจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ เป็นเงิน ๖๐,๐๐๐ บาท และโจทก์ที่ ๖ ที่ ๗ เป็นเงิน ๘๒,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ย
จำเลยร่วมทั้งสองสำนวนอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่า คดีของโจทก์ที่ ๑ ถึงที่ ๕ แต่ละคนทุนทรัพย์เพียงคนละ ๑๒,๐๐๐ บาท ต้องห้ามมิให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลอุทธรณ์จึงไม่รับวินิจฉัย และฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยค้ำจุนรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ม. ๒๘๙๗๓ ไว้แก่จำเลยร่วม พิพากษายืน
จำเลยร่วมทั้งสองสำนวนฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยร่วมฎีกาว่า จำเลยร่วมมิได้มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัย อีกทั้งจำเลยร่วมไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย จึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๒ และจำเลยร่วมได้ตกลงทำนิติกรรมซึ่งต้องห้ามชัดแจ้งในกฎหมาย นิติกรรมดังกล่าวจึงเป็นโมฆะ จำเลยร่วมไม่ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยรถยนต์หมายเลขทะเบียน น.ม. ๒๘๙๗๓ ไว้กับจำเลยร่วมผู้รับประกันภัยแม้จะฟังว่าจำเลยร่วมไม่มีวัตถุประสงค์ในการรับประกันภัย แต่การที่จำเลยร่วมได้รับเบี้ยประกันภัยอันเป็นผลประโยชน์ตอบแทนจากผู้เอาประกันภัย จำเลยร่วมจะปฏิเสธว่าเป็นเรื่องนอกวัตถุประสงค์ของจำเลยร่วม เพื่อให้พ้นความรับผิดที่ต้องใช้ค่าเสียหายตามสัญญาประกันภัยหาได้ไม่ สัญญาประกันภัยดังกล่าวจึงมีผลผูกพันจำเลยร่วม ส่วนที่จำเลยร่วมตกลงทำนิติกรรมสัญญาประกันภัยกับจำเลยที่ ๒ โดยจำเลยร่วมไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย นิติกรรมดังกล่าวจะเป็นโมฆะต่อเมื่อจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นคู่สัญญาได้รู้ว่าจำเลยร่วมไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐมนตรีให้ประกอบกิจการประกันวินาศภัย เมื่อจำเลยร่วมไม่สืบพยาน จึงไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อจำเลยที่ ๒ ได้เอาประกันภัยรถยนต์คันดังกล่าวไว้แก่จำเลยร่วม จำเลยร่วมจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองสำนวน ฎีกาของจำเลยร่วมฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน

Share