แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่มีอาวุธปืนใด ๆ ติดตัวมาเลยและขณะจำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและกระชากเอาสร้อยคอทองคำไปจากผู้ตาย จำเลยที่ 2 จะยืนอยู่เฉย ๆ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 มายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1กับพวก เมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้ตายสวมอยู่ไปได้แล้ว จำเลยที่ 2 วิ่งหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 กับพวก ประกอบกับคดีฟังได้ตามคำให้การชั้นสอบสวนว่าขณะจำเลยที่ 1 กับพวกปรึกษากันเรื่องจะปล้นทรัพย์ผู้ตาย จำเลยที่ 2 ก็นั่งฟังอยู่ด้วย ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์
ขณะจำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น จำเลยที่ 2ยืนเฉย ๆ มิได้พูดหรือกระทำการใด ๆ อันจะถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กับพวกในการฆ่าผู้ตายเลย จำเลยที่1 กับพวกตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปตามลำพังและโดยฉับพลันในขณะนั้นเอง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานร่วมกับจำเลยที่ 1 กับพวกฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ด้วย.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองกับพวกอีก 2 คน ร่วมกันมีอาวุธปืนสั้นติดตัวมาปล้นทรัพย์ของนายซาและใช้อาวุธปืนยิงนายซาถึงแก่ความตายโดยเจตนาฆ่าและโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 289, 340 และ 340 ตรีและให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ปล้นแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289, 340 วรรคท้าย ประกอบด้วย มาตรา 340 ตรีจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 และ 340วรรคท้าย การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 289 โดยให้ประหารชีวิต ลดโทษให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 50 ปี จำคุกจำเลยที่ 2ตลอดชีวิต ริบของกลาง ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท ราคา 44,000 บาทแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้ในขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ไม่มีอาวุธปืนใดๆ ติดตัวมาเลย เพียงแต่เข้าไปยืนอยู่ด้านหลังเขียงของผู้ตายใกล้ผู้ตาย และขณะจำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและกระชากเอาสร้อยคำทองคำไปจากผู้ตาย จำเลยที่ 2 จะยืนอยู่เฉยๆ ก็ตาม แต่การที่จำเลยที่ 2 มายังที่เกิดเหตุพร้อมกับจำเลยที่ 1 กับพวกจำเลยที่ 1 กับพวกอีก 2 คนมาหยุดยืนด้านหน้าเขียงของผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 2 หยุดยืนทางด้านหลังเขียงใกล้ผู้ตาย เมื่อจำเลยที่ 1 กับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายและกระชากสร้อยคอทองคำที่ผู้ตายสวมอยู่ไปได้แล้ว จำเลยที่ 2 ก็ได้วิ่งหนีไปพร้อมกับจำเลยที่ 1 กับพวกดังกล่าว ประกอบกับคดีฟังได้ตามคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 1 และของที่ 2 ตามเอกสารหมายป.จ.3 และ ป.จ.4 ตามลำดับว่า จำเลยที่ 1 กับพวกเจตนามาปล้นทรัพย์ผู้ตาย เพื่อเอาสร้อยคอทองคำของผู้ตายไปขายเอาเงินไปให้พวกของจำเลยที่ 1 กับพวกที่กำลังมีความจำเป็นต้องใช้เงิน และขณะจำเลยที่ 1 กับพวกปรึกษากันเรื่องจะปล้นทรัพย์ผู้ตายจำเลยที่ 2 ก็นั่งฟังอยู่ด้วยแล้ว ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวการร่วมกระทำความผิดด้วยกันกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานปล้นทรัพย์ ส่วนข้อหาฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาอันมีเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 นั้น โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานให้เห็นว่า คนร้ายรายนี้มีเจตนาจะฆ่าผู้ตายมาก่อน กลับได้ความจากคำให้การรับสารภาพของจำเลยที่ 1 และของจำเลยที่ 2 เอกสารหมายป.จ.3 และ ป.จ.4 ตามลำดับว่า มีเจตนาจะหาเงินไปช่วยเพื่อนที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินเท่านั้นขณะจำเลยที่ 1 กับพวกอีก1 คนใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายนั้น จำเลยที่ 2 ก็ได้ยืนเฉยๆ มิได้พูดหรือกระทำการใดๆ อันจะถือได้ว่าเป็นตัวการหรือผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 กับพวกคนนั้นในการฆ่าผู้ตายเลย จำเลยที่1 กับพวกคนนั้นตัดสินใจใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายไปตามลำพังและโดยฉับพลันในขณะนั้นเอง จำเลยที่ 2 จึงไม่มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาอันมีเหตุฉกรรจ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทว่าจำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ด้วย จึงไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ส่วนที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 โดยมิได้ระบุอนุมาตรานั้น ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 289 มีหลายอนุมาตรา แต่ละอนุมาตรามีองค์ประกอบความผิดไม่เหมือนกัน เมื่อข้อเท็จจริงที่พิจารณาได้ความเข้าลักษณะอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามอนุมาตราใดของมาตรา 289 ก็ชอบที่ศาลจะระบุอนุมาตรานั้นๆ ไว้ด้วย คดีนี้ฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 ฆ่าผู้ตายเพื่อความสะดวกในการที่จะปล้นเอาสร้อยคอทองคำของผู้ตายไป จึงต้องปรับบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289(6) และที่ศาลล่างทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท ราคา 44,000 บาท แก่เจ้าของนั้นปรากฏว่าผู้เป็นเจ้าของสร้อยคอดังกล่าวถึงแก่ความตายแล้วศาลฎีกาเห็นควรแก้เสียให้ชัดเจน
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 289(6) และมาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมาย 2 บทที่มีโทษเท่ากันให้ลงโทษตามมาตรา 340 วรรคท้าย ประกอบด้วยมาตรา 340 ตรี จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340วรรคท้าย ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันคืนหรือใช้ราคาสร้อยคอทองคำหนัก 10 บาท ราคา 44,000 บาท แก่ผู้มีสิทธิตามกฎหมาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์.