คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2537/2529

แหล่งที่มา : สำนักงาน ส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

โจทก์และภรรยาซื้อที่ดินและตึกแถวในราคา2,500,000บาทตั้งแต่พ.ศ.2510เมื่อซื้อมาแล้วไม่ได้ปรับปรุงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างหรือกระทำการอื่นใดอันจะแสดงให้เห็นเจตนาซื้อทรัพย์สินนั้นมาเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแต่ต่อมาพ.ศ.2519โจทก์มีหนี้สินจำนวนมากจึงจำเป็นต้องขายที่ดินและตึกแถวในราคา6,650,000บาทตามสภาพและค่าของเงินในขณะที่ขายเพื่อนำเงินไปใช้ชำระหนี้จำนองที่ดินแปลงนี้และหนี้สินรายอื่นการขายที่ดินและตึกแถวของโจทก์จึงเป็นการขายทรัพย์สินซึ่งทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไรและเมื่อตามกฎหมายถือว่าโจทก์ได้ปฏิบัติเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกรมสรรพากรกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังแล้วโจทก์ย่อมได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้จากขายที่ดินและตึกแถวดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและยกคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์พร้อมคืนเงินภาษีให้โจทก์
จำเลยทั้งสี่ให้การว่า การประเมินของเจ้าพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ถูกต้องชอบด้วยกฎหมายแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยโดยกำหนดค่าทนายความให้ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้เพิกถอนการประเมินภาษีเงินได้ของเจ้าพนักงานประเมินตามหนังสือแจ้งภาษีเงินได้ ส.1040/1/12038ลงวันที่ 15 มิถุนายน 2522 และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เลขที่ 81/2524 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2524 เฉพาะที่เกี่ยวกับเงินได้จากการขายที่ดินและตึกแถวเสีย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสี่ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว จำเลยทั้งสี่ฎีกาสรุปความได้ว่า การที่โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวซึ่งอยู่ในย่านทำเลห้างหุ้นส่วนจำกัด โรงค้าไม้หน่ำหลี ที่โจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการแล้วใช้ตึกแถวนั้นเก็บสินค้าของห้างหุ้นส่วน เป็นการได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยมุ่งในทางการค้าและหากำไรศาลฎีกาเห็นว่า ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 42(9) ที่ใช้บังคับในขณะพิพาทและที่เกี่ยวกับคดีนี้ที่บัญญัติว่า “การขายทรัพย์สินซึ่งทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือกำไร” นั้นหมายความว่า การได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยผู้ได้มาไม่มีเจตนาจะมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร ตรงกันข้ามถ้าผู้ได้มาซึ่งทรัพย์สินมีเจตนาจะมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรแล้วต่อมาได้ขายทรัพย์สินนั้นก็จะไม่ได้รับยกเว้นการเสียภาษีเงินได้ ข้อเท็จจริงที่โจทก์ซื้อที่ดินและตึกแถวมาแล้วเกิดความจำเป็นต้องกู้ยืมเงินจึงนำที่ดินไปจำนองค้ำประกันหนี้ที่ธนาคารเพื่อนำเงินไปใช้ในทางการค้าหรือการใด ๆ ก็ดี และซื้อแล้วได้ใช้ตึกแถวเป็นที่เก็บสินค้าของห้างหุ้นส่วนก็ดี ย่อมเป็นเรื่องปกติธรรมดาของเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินที่พึงใช้ประโยชน์จากที่ดินนั้นกระทำกันทั่วไป ส่วนที่ว่าที่ดินและตึกแถวตั้งอยู่ในย่านทำเลการค้าก็หาแสดงว่า ผู้ซื้อได้ซื้อมาโดยเจตนามุ่งในทางการค้าหรือหากำไรไม่ เพราะผู้ซื้ออาจซื้อมาใช้เป็นสถานประกอบการค้าหรือเพื่ออยู่อาศัยในอนาคตก็ได้
จำเลยฎีกาต่อไปว่า โจทก์ขายที่ดินและตึกแถวได้ราคาสูงกว่าราคาที่ซื้อมาถึง 4,150,000 บาท ถือว่าเป็นการขายทรัพย์สินเพื่อหากำไร ในข้อนี้เห็นว่า ที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง อาจมีราคาสูงขึ้นตามสภาพและค่าของเงิน หาแสดงว่า ถ้าขายได้ราคาสูงกว่าที่ซื้อมาเป็นการขายโดยมุ่งในทางการค้าหรือหากำไรไม่ จำเลยฎีกาอีกว่า โจทก์เจตนาหลีกเลี่ยงไม่เสียภาษีเงินได้ตามที่ประเมินโดยไม่นำบัญชีหรือพยานหลักฐานอื่นของห้างหุ้นส่วนจำกัดโรงค้าไม้หน่ำหลี ซึ่งโจทก์เป็นหุ้นส่วนผู้จัดการไปให้ตรวจสอบตามหมายเรียกก็เห็นว่าการประเมินคดีนี้เป็นการประเมินให้โจทก์เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเจ้าพนักงานประเมินอ้างว่า โจทก์มีเงินได้พึงประเมินจากการขายที่ดินและตึกแถวซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์และนางสุดาเป็นส่วนตัว ไม่เกี่ยวกับบัญชีหรือพยานหลักฐานของห้างหุ้นส่วน สำหรับฎีกาข้อที่ว่า โจทก์เจตนาหลีกเลี่ยงไม่แจ้งรายการเงินได้จากการขายที่และตึกแถวไว้ในแบบ ภ.ง.ด. 9 หรือภ.ง.ด. 9 ก. แล้วแต่กรณีประจำปีภาษี พ.ศ. 2519 นั้น เมื่อโจทก์ได้ยื่นรายการเพิ่มเติมตามกำหนด ประกาศของคณะปฏิบัติ ฉบับที่ 9 ถือว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดชอบด้วยกฎหมายแล้วปัญหาว่า โจทก์จงใจหรือไม่จงใจหลีกเลี่ยงแม้จะวินิจฉัยก็ไม่ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง
ศาลฎีกาเห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์และนางสุดาภรรยาซื้อที่ดินและตึกแถวในราคา 2,500,000 บาท มาตั้งแต่ พ.ศ. 2510เมื่อซื้อมาแล้วไม่ได้ปรับปรุงที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างหรือกระทำการอื่นใดอันจะแสดงให้เห็นเจตนาซื้อทรัพย์สินนั้นมาเพื่อมุ่งในทางการค้าหรือหากำไร แต่ต่อมา พ.ศ. 2519 โจทก์มีหนี้สินจำนวนมากจึงจำเป็นต้องขายที่ดินและตึกแถวในราคา 6,600,000 บาท ตามสภาพและค่าของเงินในขณะที่ขายเพื่อนำเงินไปใช้ชำระหนี้จำนองที่ดินแปลงนี้และหนี้สินรายอื่น การขายที่ดินและตึกแถวของโจทก์จึงเป็นการขายทรัพย์สินซึ่งทรัพย์สินนั้นได้มาโดยมิได้มุ่งในทางการค้าหรือหากำไร และเมื่อตามกฎหมายถือว่าโจทก์ได้ปฏิบัติเป็นไปตามระเบียบที่อธิบดีกำหนดโดยอนุมัติรัฐมนตรีแล้ว โจทก์ย่อมได้รับยกเว้นไม่ต้องนำเงินได้ดังกล่าวมารวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบแล้ว ฎีกาจำเลยทั้งสี่ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share