คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3675/2529

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ครั้งแรกจำเลยที่ 1 มีคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ด้วยข้อกล่าวหาอันเป็นเท็จและเป็นการเลิกจ้างที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลย โจทก์จึงอุทธรณ์ต่อประชาชนกรรมการของจำเลยที่ 1 คณะกรรมการพิจารณาแล้วมีมติให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าวและให้โจทก์รอการบรรจุไว้ โดยให้รอผลการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างของจำเลยที่ 1 ต่อไป จำเลยที่ 1 จึงได้ออกคำสั่งตามมติของคณะกรรมการ อันเป็นผลให้คำสั่งเดิมไม่มีผลบังคับต่อไป การเลิกจ้างโจทก์โดยคำสั่งครั้งแรกจึงไม่เกิดขึ้น กรณีไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่าการเลิกจ้างตามคำสั่งนั้นเป็นการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่
จำเลยที่ 1 ประสบภาวะการขาดทุนอย่างรุนแรง จึงเลิกจ้างโจทก์เพื่อเป็นการปรับปรุงงาน และเกิดความประหยัด เป็นการเลิกจ้างเพื่อลดรายจ่ายของจำเลยที่ 1 การเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวไม่ถือว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม
จำเลยที่ 1 อนุมัติให้โจทก์ลาไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมีกำหนดระยะเวลา 2 ปี โดยมีเงื่อนไขต่อกันว่าโจทก์ไม่ขอรับเงินเดือนในระหว่างนั้น โจทก์จึงยังมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 อยู่ โจทก์เดินทางไปแล้วกลับมา ขอกลับเข้าทำงานก่อนครบกำหนดลา แต่จำเลยที่ 1 ยังไม่ให้โจทก์เข้าทำงานเนื่องจากเหตุจำเป็นหลายประการ โจทก์จึงมิได้ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่ 1 กรณีจึงเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ได้ถือปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวนั้นอยู่ โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างจากจำเลยที่ 1
ตามข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ ฉบับที่ 10 (พ.ศ.2522) ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จผู้ปฏิบัติงานในองค์การเหมืองแร่ ข้อ 6.2 ว่าเวลาป่วยลา พักงานหรือไม่ได้อยู่ปฏิบัติงาน ถ้าเวลาดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ให้นับเป็นเวลาทำงานและให้หักออกจากเวลาทำงานโจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ 1 ให้ลาไปศึกษายังต่างประเทศโดยไม่ขอรับเงินเดือน โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้นับเวลาทำงานในช่วงเวลาดังกล่าวเพื่อนำมาคำนวณอายุการทำงานในการรับเงินบำเหน็จของโจทก์ตามข้อบังคับดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นลูกจ้างจำเลยที่ ๑ โจทก์ได้รับอนุมัติจากจำเลยที่ ๒ ไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศมีกำหนด ๒ ปี โดยไม่ได้รับเงินเดือน ต่อมาโจทก์ประสบปัญหาจึงเดินทางกลับและขอกลับเข้าทำงานในตำแหน่งเดิม จำเลยที่ ๑ ให้โจทก์รอการปรับปรุงโครงสร้างและกำหนดอัตรากำลังใหม่ ต่อมาจำเลยที่ ๒ ได้มีคำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ เลิกจ้างโจทก์โดยมิได้ผ่านขั้นตอนของจำเลยที่ ๑ และมีข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ โจทก์ได้อุทธณ์ต่อประธานคณะกรรมการองค์การเหมืองแร่ซึ่งมีมติว่าควรรับโจทก์กลับเข้าทำงาน จำเลยที่ ๑ จึงแจ้งให้โจทก์กลับเข้าทำงานแต่ให้รอการบรรจุโดยอ้างว่ากำลังปรับปรุงโครงสร้างของจำเลยที่ ๑ และให้ยกเลิกคำสั่งเลิกจ้างโจทก์ดังกล่าว โจทก์ได้ขอกลับเข้าทำงานอีก แต่จำเลยที่ ๒ ได้มีคำสั่งที่ ๗๓/๒๕๒๗ ให้เลิกจ้างโจทก์ โดยอ้างว่าต้องปรับปรุงโครงสร้างซึ่งไม่เป็นความจริง และไม่เคยมีการปรับปรุงแต่อย่างใด จึงเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมซึ่งโจทก์ได้รับความเสียหาย เมื่อโจทก์ขอกลับเข้าทำงานแต่จำเลยที่ ๑ ให้รอการบรรจุ โจทก์จึงยังเป็นพนักงานของจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างและตามข้อบังคับว่าด้วยกองทุนบำเหน็จ โจทก์มีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จด้วย ขอให้บังคับจำเลยที่ ๑ และที่ ๒ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย ค่าจ้างค้างชำระ เงินบำเหน็จกับดอกเบี้ย
จำเลยทั้งสองให้การว่า โจทก์ขออนุมัติไปศึกษาต่อ จำเลยที่ ๑ อนุมัติโดยโจทก์ไม่รับเงินเดือนและมิได้กำหนดให้เก็บตำแหน่งของโจทก์ไว้ด้วย ต่อมาโจทก์ได้ขอกลับเข้าปฏิบัติงาน คณะกรรมการของจำเลยที่ ๑ มีมติว่า โจทก์ยังมิได้เข้าศึกษาชั้นปริญญาโทครบ ๒ ปี ตามที่ได้อนุมัติให้ไปศึกษาต่อ และจำเลยที่ ๑ ได้กำหนดตัวบุคคลและอัตรากำลังใหม่ไปแล้วรวมทั้งกำลังปรับปรุงโครงสร้างใหม่ร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักงบประมาณ จึงให้รอการปรับปรุงโครงสร้างและกำหนดอัตรากำลังใหม่ให้เสร็จก่อน แต่ต่อมาจำเลยที่ ๑ ประสบภาวะการขาดทุนจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงาน จึงมีคำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ ให้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์อุทธรณ์คำสั่งต่อประธานกรรมการของจำเลยที่ ๑ คณะกรรมการมีมติให้ยกเลิกคำสั่งดังกล่าว แต่ให้ระงับการบรรจุโจทก์ไว้ก่อน เพื่อรอผลการปรับปรุงโครงสร้าง ต่อมาเมื่อสำนักงบประมาณได้ร่วมกันปรับปรุงโครงสร้างของจำเลยที่ ๑ แล้ว จำเลยที่ ๑ จึงมีคำสั่งที่ ๗๓/๒๕๒๗ ให้เลิกจ้างโจทก์ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ได้เลิกจ้างด้วยความจำเป็นเพื่อลดรายจ่าย เพราะจำเลยที่ ๑ ประสบภาวะการขาดทุน จึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม โจทก์ไม่ได้ทำงานให้กับจำเลยที่ ๑ โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างส่วนเงินบำเหน็จโจทก์ได้รับอนุมัติให้ลาไปศึกษาต่อโดยไม่รับเงินเดือน โจทก์จะนำระยะเวลาดังกล่าวมารวมคำนวณมิได้ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า โจทก์อุทธรณ์ประการแรกว่าเดิมจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ เลิกจ้างโจทก์ด้วยข้อหาอันเป็นเท็จ หมิ่นประมาทโจทก์และทำให้โจทก์ต้องเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง กับเป็นการเลิกจ้างที่ขัดต่อระเบียบข้อบังคับของจำเลย เมื่อโจทก์ยื่นอุทธรณ์คณะกรรมการจึงมีมติยกเลิกคำสั่งดังกล่าว ดังนั้น การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมจึงได้เกิดขึ้นแล้วตามคำสั่งนี้ที่ศาลแรงงานกลางไม่วินิจฉัยถึงคำสั่งนี้จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิเคราะห์แล้วได้ความว่า เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน ๒๕๒๖ จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ ได้มีคำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ ให้เลิกจ้างโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ต่อประธานกรรมการของจำเลยที่ ๑ ซึ่งจากการพิจารณาของคณะกรรมการของจำเลยที่ ๑ มีมติให้ยกเลิกคำสั่งของจำเลยที่ ๑ ที่ ๔๙/๒๕๒๖ และให้โจทก์รอการบรรจุไว้โดยให้รอผลการพิจารณาปรับปรุงโครงสร้างของจำเลยที่ ๑ ต่อไป จำเลยที่ ๑ โดยจำเลยที่ ๒ จึงได้ออกคำสั่งที่ ๕๙/๒๕๒๖ ลงวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๕๒๖ และได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า การที่จำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ ตามเอกสารหมาย จ.๗ ให้เลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ๒๕๒๖ เป็นต้นไปนั้น ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งที่ ๕๙/๒๕๒๖ ตามเอกสารหมาย จ.๙(๒) ให้ยกเลิกคำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ ตามเอกสารหมาย จ.๗ โดยให้ระงับการบรรจุโจทก์ไว้เพื่อรอผลการปรับปรุงโครงสร้างของจำเลยที่ ๑ ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ ดังนั้น จึงมีผลเป็นว่า คำสั่งที่ ๔๙/๒๕๒๖ ไม่มีผลบังคับต่อไป การเลิกจ้างโจทก์โดยคำสั่งดังกล่าวจึงไม่เกิดขึ้น เมื่อผลบังคับของคำสั่งเลิกจ้างเกิดขึ้นมิได้เช่นนี้ กรณีก็ไม่อาจกล่าวอ้างได้ว่า การเลิกจ้างตามคำสั่งเอกสารหมาย จ.๗ เป็นการเลิกจ้างเป็นธรรมหรือไม่ ที่ศาลแรงงานกลางไม่วินิจฉัยคำสั่งฉบับนี้จึงชอบแล้ว ฯลฯ ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่าจำเลยที่ ๑ ได้ประสบภาวะการขาดทุนอย่างรุนแรง การที่จำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งตามเอกสารหมาย จ.๑๒ ให้เลิกจ้างโจทก์ก็ได้อ้างเหตุแห่งการเลิกจ้างว่าเพื่อเป็นการปรับปรุงงานขององค์การเหมืองแร่ และเกิดความประหยัดจึงให้เลิกจ้างโจทก์ จึงเป็นการเลิกจ้างเพื่อลดรายจ่ายของจำเลยที่ ๑ อันเนื่องมาจากประสบภาวะการขาดทุนนั่นเอง การเลิกจ้างด้วยเหตุดังกล่าวไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมได้
โจทก์อุทธรณ์ประการที่สองว่า การที่ลาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศนั้นจำเลยยังไม่ได้เลิกจ้างโจทก์ และยังสงวนตำแหน่งงานของโจทก์ไว้เมื่อโจทก์กลับจากต่างประเทศและขอกลับเข้าทำงานก่อนครบกำหนดลา โจทก์ชอบที่จะได้กลับเข้าทำงานในตำแหน่งและอัตราค่าจ้างเดิม การที่จำเลยได้ออกคำสั่งที่ ๗๓/๒๕๒๗ ตามเอกสารหมาย จ.๑๒ ให้เลิกจ้างโจทก์หลังจากโจทก์ต้องรอการบรรจุเป็นเวลา ๑ ปี ๑๑ เดือน โจทก์จึงมีสิทธิเป็นลูกจ้างและมีสิทธิได้รับค่าจ้างตลอดมาจนถึงวันเลิกจ้าง ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อจำเลยที่ ๑ ได้มีคำสั่งอนุมัติให้โจทก์ลาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศมีกำหนดระยะเวลา ๒ ปีนั้น ได้มีเงื่อนไขต่อกันว่าโจทก์ไม่ขอรับเงินเดือนในระหว่างลาไว้ด้วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่โจทก์เสนอต่อจำเลยที่ ๑ ดังนั้น การลาของโจทก์ดังกล่าวจึงเป็นข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ที่เกิดขึ้นด้วยความสมัครใจของทั้งสองฝ่าย แม้ว่าโจทก์จะมีฐานะเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๑ อยู่ก็ตาม จำเลยที่ ๑ ก็ยังมิได้ให้โจทก์เข้าทำงาน เนื่องจากเหตุจำเป็นหลายประการ โจทก์จึงมิได้ปฏิบัติงานให้แก่จำเลยที่ ๑ กรณีจึงยังเป็นเรื่องที่จำเลยที่ ๑ ได้ถือปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวนั้นอยู่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาค่าจ้างจากจำเลยที่ ๑ ได้
โจทก์อุทธรณ์ประการที่สามว่า จำเลยที่ ๑ เลิกจ้างโจทก์เมื่อวันที่๒๓ กรกฎาคม ๒๕๒๗ ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธิได้รับเงินบำเหน็จโดยคำนวณอายุการทำงานจนถึงวันเลิกจ้างด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า สิทธิที่จะได้รับเงินบำเหน็จของโจทก์จะเป็นจำนวนเงินเท่าใดนั้น จะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์ตามข้อบังคับองค์การเหมืองแร่ ฉบับที่ ๑๐ พ.ศ. ๒๕๒๒ ว่าด้วยกองทุนบำเหน็จผู้ปฏิบัติงานในองค์การเหมืองแร่ เอกสารหมาย จ.๒๕ ซึ่งได้กำหนดไว้ในข้อ ๖ ว่า ในการนับเวลาทำงานให้ถือหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
๖.๑ ให้นับตั้งแต่วันที่ผู้ปฏิบัติงานได้รับการบรรจุในอัตราประจำ
๖.๒ เวลาป่วย ลา พักงาน หรือไม่ได้อยู่ปฏิบัติงานถ้าเวลาดังกล่าวไม่ได้รับอนุญาตให้ได้รับเงินเดือนหรือค่าจ้าง ไม่ให้นับเป็นเวลาทำงานและให้หักออกจากเวลาทำงานใน ๖.๑ ฯลฯ เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์ได้รับอนุญาตจากจำเลยที่ ๑ ให้ลาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศโดยไม่ขอรับเงินเดือนแล้วเช่นนี้ กรณีจึงต้องด้วยข้อบังคับของจำเลยที่ ๑ ข้อ ๖.๒ ดังกล่าวข้างต้น โจทก์จึงไม่มีสิทธิขอให้นับเวลาทำงานในช่วงเวลาที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ลาไปศึกษาต่อยังต่างประเทศนั้นได้
พิพากษายืน

Share