แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
ในวันนัดสืบพยานโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยแก้ไขคำให้การแล้วเห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยานบุคคลจึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้วพิพากษายกฟ้อง เนื่องจากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องโดยพิเคราะห์จากคำแถลงของคู่ความและเอกสารที่ส่งศาลโจทก์อุทธรณ์และฎีกาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้งดสืบพยานโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับคำร้องขอแก้ไขคำให้การจำเลย ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีสืบพยานโจทก์จำเลยใหม่ แม้จะอุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องมาด้วยก็เป็นการโต้แย้งข้อที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530เท่านั้น ไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาในเนื้อหาที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่ม แม้อุทธรณ์ข้อนี้จะฟังขึ้น ก็จะเข้าไปวินิจฉัยเรื่องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มยังไม่ได้ เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยาน ต้องย้อนสำนวนไปให้สืบพยานแล้วพิพากษาใหม่ อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตามตาราง 1 ข้อ (2)(ก) ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งต้องเสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองขอเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มจำนวน 2,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกาศาลฎีกาพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
หลังจากศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาเมื่อวันที่ 25มีนาคม 2541 แล้วต่อมาวันที่ 21 พฤษภาคม 2542 โจทก์ยื่นคำร้องว่า อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นอุทธรณ์และฎีกาคำสั่งปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ซึ่งต้องเสียค่าขึ้นศาล 200 บาทแต่เจ้าหน้าที่ศาลให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ขอให้คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2542 ว่าอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์เป็นกรณีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ที่โจทก์ต้องเสียค่าธรรมเนียมศาลอย่างคดีมีทุนทรัพย์จึงชอบแล้ว ยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นเพิกถอนคำสั่งที่ไม่อนุญาตให้คืนเงินค่าขึ้นศาลแก่โจทก์ แล้วมีคำสั่งอนุญาตให้คืนเงินค่าขึ้นศาลส่วนที่เกินแก่โจทก์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งลงวันที่ 22 มิถุนายน 2542 ว่า ศาลฎีกาพิพากษาไปแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลชั้นต้นจะเพิกถอนคำสั่งเดิมให้ยกคำร้อง
โจทก์อุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2542ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาคณะคดีปกครองวินิจฉัยว่า “คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนเกิน 200 บาท แก่โจทก์ชอบหรือไม่ โจทก์ฎีกาว่า ในวันสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้นำพยานมาเพื่อเตรียมสืบพยานแล้ว แต่จำเลยทั้งสองได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การว่า โจทก์ฟ้องเกิน 1 ปี จึงไม่มีอำนาจฟ้องศาลชั้นต้นได้อนุญาตให้จำเลยทั้งสองแก้ไขคำให้การแล้วเห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยานบุคคล จึงมีคำสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสอง แล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์ได้อุทธรณ์และฎีกาว่าคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้แก้ไขคำให้การและคำสั่งที่ให้งดสืบพยานโจทก์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โดยโจทก์มีคำขอให้ศาลสูงยกคำสั่งศาลชั้นต้นที่รับคำร้องขอแก้ไขคำให้การจำเลยทั้งสองและให้ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองใหม่จึงเห็นได้ว่า หากอุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ก็มีผลเพียงคดีต้องสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองกันใหม่ และยังไม่แน่ชัดว่าโจทก์จะชนะคดีหรือไม่ การพิจารณาคดีใหม่จึงไม่ใช่ประโยชน์ใดที่จะคำนวณเป็นราคาเงินได้ อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ย่อมเป็นคำขอปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ไม่ได้มีข้อความโต้แย้งเนื้อหาแห่งคดีทั้งตามรูปคดีจะต้องนำสืบค่าเสียหายให้เสร็จสิ้นก่อน ศาลจึงจะพิพากษาได้ผลการอุทธรณ์และฎีกาไม่ทำให้โจทก์ชนะคดี โจทก์เพียงขอให้ยกคำสั่งศาลชั้นต้นแล้วให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไป เมื่อเสร็จสิ้นถึงจะพิพากษา อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์จึงเป็นคดีที่เป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์เพียง 200 บาท อันเป็นค่าขึ้นศาลที่ถูกต้องแล้ว มิฉะนั้นศาลคงไม่รับอุทธรณ์ของโจทก์ มาแต่ต้นจึงเห็นได้ว่าในคดีเดียวกันโจทก์ต้องเสียค่าขึ้นศาลแตกต่างกันย่อมพิสูจน์ได้ว่าค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาไม่ได้กำหนดให้ถูกต้องตามกฎหมาย พิเคราะห์แล้ว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในรายงานกระบวนพิจารณาว่า พิเคราะห์คำแถลงของคู่ความทุกฝ่ายประกอบพยานเอกสารที่คู่ความทุกฝ่ายรับว่าถูกต้องแล้ว เห็นว่าคดีไม่จำต้องสืบพยานบุคคลต่อไป งดสืบพยานบุคคล นัดฟังคำพิพากษาและวินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง พิพากษายกฟ้อง โจทก์ยื่นอุทธรณ์และฎีกา อ้างว่าคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ให้รับคำร้องขอแก้ไขคำให้การของจำเลยทั้งสองไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้สืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองต่อไปนั้น ศาลฎีกาเห็นว่า แม้โจทก์จะอุทธรณ์และฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้มาด้วยก็ตาม ก็เป็นอุทธรณ์และฎีกาโต้แย้งที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการเวนคืนอสังหาริมทรัพย์ พ.ศ. 2530 เท่านั้น ไม่ได้อุทธรณ์และฎีกาในเนื้อหาที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มอีก 2,000,000 บาท และแม้ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาจะพิพากษาว่า อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ก็จะเข้าไปวินิจฉัยเรื่องเรียกเงินค่าทดแทนที่ดินเพิ่มยังไม่ได้ เพราะยังไม่มีข้อเท็จจริงเนื่องจากศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นสืบพยานโจทก์และจำเลยทั้งสองจนสิ้นกระแสความแล้วพิพากษาใหม่ดังนั้น อุทธรณ์และฎีกาของโจทก์จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ซึ่งตามตาราง 1 ข้อ (2)(ก)ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งกำหนดให้เสียค่าขึ้นศาลเพียง 200 บาท ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นอุทธรณ์จำนวน 200 บาทนั้นถูกต้องแล้ว แต่ที่โจทก์เสียค่าขึ้นศาลในชั้นฎีกาจำนวน 50,000บาท เป็นการเสียค่าขึ้นศาลเกินมาไม่ถูกต้อง จึงต้องคืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาให้แก่โจทก์ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”
พิพากษากลับให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เสียเกินมาเป็นเงิน 49,800 บาท แก่โจทก์