คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 667/2544

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานในองค์กรเพื่อความเหมาะสมและความอยู่รอดของจำเลยโดยรวมคลังสินค้าและพนักงานกับบริษัท บ. จนเหลือคลังสินค้าแห่งเดียว และมีตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าเพียงตำแหน่งเดียว เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่า ร. มีความรู้เกี่ยวกับการบริหารคลังสินค้าและคอมพิวเตอร์เหมาะสมกว่าโจทก์ จึงคัดเลือก ร. ไว้ทำงานต่อไป แล้วเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งโจทก์ จึงนับว่ามีเหตุจำเป็นอันสมควรในการเลิกจ้างจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2506 จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้าง ทำหน้าที่ผู้จัดการคลังสินค้าได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 70,800 บาท จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยไม่เป็นธรรมและโจทก์ไม่มีความผิด ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าเสียหายเป็นเงิน 2,500,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยให้การว่า จำเลยมิได้กระทำการใดอันเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง

ศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้างจำเลยเมื่อวันที่ 26 มกราคม 2506 ตามเอกสารหมาย ล.6 ตำแหน่งสุดท้ายเป็นผู้จัดการคลังสินค้าได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 70,800 บาท จำเลยเป็นบริษัทในเครือของบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด ต่อมาประมาณปี 2540 ถึง 2541 ได้มีการรวมคลังสินค้าและพนักงานของทั้งสองบริษัทเข้าด้วยกันและวางแผนกำหนดเป้าหมายรวมทั้งลดพนักงานตามเอกสารหมาย ล.4 เมื่อรวมกันแล้วเหลือตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าเพียงตำแหน่งเดียว แต่มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้า 2 คน คือโจทก์กับนายรังสี สุทธิโสตถิ์ จำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่า นายรังษีมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารคลังสินค้าและคอมพิวเตอร์เหมาะสมกว่าโจทก์ และไม่สามารถย้ายโจทก์ไปทำงานตำแหน่งอื่นได้ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 อ้างว่าจำเลยมีความจำเป็นต้องปรับปรุงองค์กรภายในบริษัทเพื่อลดค่าใช้จ่ายและให้เกิดความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบัน โดยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 1 เดือน ค่าชดเชย 10 เดือน และเงินช่วยเหลือพิเศษเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนเมื่อออกจากงาน 7 เดือน รวม 18 เดือน ตามเอกสารหมาย จ.4 แล้ววินิจฉัยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยยังไม่มีสาเหตุเพียงพอเป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรม พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายจำนวน 850,000 บาท แก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก

จำเลยอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า “ปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ข้อแรกของจำเลยว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมหรือไม่พิเคราะห์แล้ว พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522 มาตรา 49 บัญญัติว่า “การพิจารณาคดีในกรณีนายจ้างเลิกจ้างลูกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าการเลิกจ้างลูกจ้างผู้นั้นไม่เป็นธรรมต่อลูกจ้าง ศาลแรงงานอาจสั่งให้นายจ้างรับลูกจ้างผู้นั้นเข้าทำงานต่อไปในอัตราค่าจ้างที่ได้รับในขณะที่เลิกจ้าง ถ้าศาลแรงงานเห็นว่าลูกจ้างกับนายจ้างไม่อาจทำงานร่วมกันต่อไปได้ ให้ศาลแรงงานกำหนดจำนวนค่าเสียหายให้นายจ้างชดใช้ให้แทนโดยให้ศาลคำนึงถึงอายุของลูกจ้างระยะเวลาการทำงานของลูกจ้าง ความเดือดร้อนของลูกจ้างเมื่อถูกเลิกจ้างมูลเหตุแห่งการเลิกจ้างและเงินค่าชดเชยที่ลูกจ้างมีสิทธิได้รับประกอบการพิจารณา” การเลิกจ้างไม่เป็นธรรมตามบทบัญญัติดังกล่าวหมายถึง การที่นายจ้างเลิกจ้างลูกจ้างโดยไม่มีสาเหตุหรือมีสาเหตุอยู่บ้าง แต่มิใช่สาเหตุที่จำเป็นหรือสมควรจะต้องเลิกจ้างลูกจ้างนั้น คดีนี้ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า เมื่อปี 2540 ถึง 2541 บริษัทจำเลยกับบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด ปรับปรุงองค์กรโดยได้รวมคลังสินค้าและพนักงานเข้าด้วยกันเพื่อความเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจปัจจุบันและลดค่าใช้จ่าย ซึ่งจำเป็นต้องลดจำนวนพนักงานลงด้วย จึงเหลือตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าเพียงตำแหน่งเดียว แต่มีผู้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้า 2 คน คือโจทก์กับนายรังสี สุทธิโสตถิ์ จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2542 ตามเอกสารหมาย จ.4 เห็นว่า ที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก็เพราะจำเลยมีการเปลี่ยนแปลงหน่วยงานในองค์กร เพื่อความเหมาะสมและความอยู่รอดของจำเลยโดยรวมคลังสินค้าและพนักงานกับบริษัทเบอร์ลี่ยุคเกอร์ จำกัด จนเหลือคลังสินค้าแห่งเดียวและมีตำแหน่งผู้จัดการคลังสินค้าเพียงตำแหน่งเดียว เมื่อจำเลยพิจารณาแล้วเห็นว่านายรังสีมีความรู้เกี่ยวกับการบริหารคลังสินค้าและคอมพิวเตอร์เหมาะสมกว่าโจทก์ จึงคัดเลือกนายรังสีไว้ทำงานต่อไปแล้วเลิกจ้างโจทก์โดยไม่ปรากฏว่าเป็นการเลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งโจทก์เช่นนี้การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ด้วยเหตุผลดังกล่าว จึงนับว่ามีเหตุจำเป็นอันสมควรในการเลิกจ้าง กรณีจึงมิใช่การเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของจำเลยต่อไป ที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมและพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าเสียหายแก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”

พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง

Share