แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ศาลพิพากษาถึงที่สุดว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4,21,22,40,42,65,66 ทวิ,69,70,71เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 ฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาตลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 2 เดือนและปรับจำเลยทั้งสองคนละ 40,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ 1,000 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี และปรับจำเลยทั้งสองคนละ80,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ 10,000 บาท รวมโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี 2 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 120,000 บาท และปรับวันละคนละ 11,000 บาทจนกว่าจะรื้อถอนลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงเหลือโทษจำเลยที่ 2จำคุก 7 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 60,000 บาทและปรับรายวันอีกวันละคนละ 5,500 บาท นับแต่วันที่5 มิถุนายน 2538 จนกว่าจะรื้อถอน ให้รอการลงโทษ จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี ถ้าไม่ชำระค่าปรับ ให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29,30 การที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ขอยื่นหลักฐาน การรื้อถอนอาคารเพื่อชำระค่าปรับตามคำพิพากษา โดยได้พยายามติดต่อขอเอกสารจากเขตราชเทวี เป็นเวลานาน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือ จึงขอยื่นหลักฐาน เท่าที่จำเลยที่ 2 มี เป็นหลักฐานรับรองการรื้อถอนอาคาร เพื่อพิจารณา เมื่อปรากฏว่าจำเลยที่ 2 ได้ทุบ ผนังอาคารออกทุกด้าน รื้อบันไดเวียน ด้านหลังออก ทำให้ ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว แต่จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รื้อถอนส่วนที่เป็นโครงเหล็กหลังคาออก แต่เมื่อการรื้อถอนอาคารตามคำพิพากษามีความหมายว่า ต้องรื้อถอนส่วนอันเป็นโครงสร้างของอาคารที่ต่อ เกินจากทั้งหมดให้กลับสู่สภาพเดิม เมื่อปรากฏว่ายังมีโครงเหล็กหลังคาเหลืออยู่จะถือว่าจำเลยทั้งสองได้รื้อถอนเสร็จแล้วยังไม่ได้ ส่วนที่กฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2528) ออกตามความใน พระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 2 กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นบทบัญญัติสำหรับให้ผู้จะ รื้อถอนอาคารจะต้องขออนุญาตมิใช่บทบัญญัติที่ให้ถือว่า จำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารเสร็จแล้วแต่อย่างใดดังนี้จำเลยที่ 2 จะขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งแสดงว่าโครงเหล็กหลังคาส่วนที่เหลืออยู่ได้รื้อถอนเสร็จสิ้นไปแล้วไม่ได้ แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวน มาแล้วในคดีนี้ยังไม่พอแก่การวินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 2เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์คำสั่ง จึงชอบที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวนในกรณีนี้ต่อไปที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า จำเลยที่ 2 ยังรื้อถอนอาคารไม่หมดนั้นชอบแล้ว
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 22,40, 42, 65, 66 ทวิ, 69, 70, 71 ข้อบัญญัติกรุงเทพมหานครเรื่องควบคุมการก่อสร้างอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 30, 76(3)(4)ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 21, 22, 40, 42, 65,66 ทวิ, 69, 70, 71 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานดัดแปลงอาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต ลงโทษจำเลยที่ 2จำคุก 2 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 40,000 บาท และปรับอีกวันละคนละ 1,000 บาท ฐานฝ่าฝืนคำสั่งเจ้าพนักงานลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 1 ปี และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 80,000 บาทและปรับอีกวันละคนละ 10,000 บาท รวมโทษจำเลยที่ 2 จำคุก1 ปี 2 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 120,000 บาทและปรับวันละคนละ 11,000 บาท จนกว่าจะรื้อถอน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงเหลือโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 7 เดือน และปรับจำเลยทั้งสองคนละ 60,000 บาท และปรับรายวันอีกวันละคนละ 5,500 บาท นับแต่วันที่ 5 มิถุนายน 2538 จนกว่าจะรื้อถอน ให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ไว้มีกำหนด 2 ปี ถ้าไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนจำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาพิพากษายืนหลังจากจำเลยทั้งสองทราบคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งได้อ่านเมื่อวันที่ 29 กันยายน 2540 แล้ว ต่อมาวันที่ 28 ตุลาคม 2540 จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องว่า จำเลยที่ 2 ขอยื่นหลักฐานการรื้อถอนอาคารเพื่อชำระค่าปรับตามคำพิพากษา โดยได้พยายามติดต่อขอเอกสารจากเขตราชเทวี เป็นเวลานาน แต่ไม่ได้รับความร่วมมือจึงขอยื่นหลักฐานเท่าที่จำเลยที่ 2 มีเป็นหลักฐานรับรองการรื้อถอนอาคารเอกสารท้ายคำร้องเพื่อพิจารณา
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า สอบถามจำเลยแล้วเห็นควรให้นัดพร้อมโจทก์และจำเลย เพื่อสอบถามเกี่ยวกับการรื้อถอนต่อไปถึงวันนัดพร้อมโจทก์และจำเลยที่ 2 มาศาล จำเลยที่ 2 แถลงว่าได้รื้อถอนส่วนที่ดัดแปลงต่อเติมออกไปแล้ว และได้แจ้งให้ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากวัดเทพศิรินทราวาสซึ่งเป็นผู้ให้เช่าอาคารพิพาทมาตรวจสอบแล้ว โดยส่งนายสุเทพ เจริญพร ไปตรวจสอบเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2538 ตามหนังสือลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 และภาพถ่ายส่วนที่ทำการรื้อถอนในวันดังกล่าวนายสุเทพซึ่งเป็นทนายความประจำสำนักงานประกอบนิติสารผู้รับมอบอำนาจช่วงจากวัดเทพศิรินทราวาสผู้ให้เช่ามาศาลแถลงว่า จำเลยที่ 2 มีหนังสือลงวันที่18 พฤษภาคม 2538 แจ้งให้สำนักงานประกอบนิติสารไปตรวจสอบอาคารที่เขตสั่งให้รื้อถอน เมื่อประมาณต้นเดือนมิถุนายน 2538 นายสุเทพไปเก็บค่าเช่า จากการตรวจสอบพบว่าจำเลยรื้อถอนส่วนที่ต่อเติมจนคืนสภาพเดิมแล้วตามหนังสือลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2540 ส่วนจำเลยที่ 2 แถลงเพิ่มเติมว่าเคยติดต่อเขตราชเทวีหลายครั้ง และเคยไปพบผู้อำนวยการเขตหลายครั้งเพื่อขอให้ออกหนังสือรับรองการรื้อถอน แต่ทางเขตไม่ยอมออกหนังสือให้ขอให้ศาลพิจารณาโจทก์แถลงว่าประสงค์จะให้พนักงานสอบสวนสอบสวนพยานที่เกี่ยวข้องเพื่อจะทราบว่าจำเลยรื้อถอนตั้งแต่เมื่อใด ศาลชั้นต้นเห็นว่าเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงเป็นยุติว่าจำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมเมื่อใด เห็นควรฟังการสอบสวนของพนักงานสอบสวนก่อนและเลื่อนไปนัดพร้อมในวันที่ 26 ธันวาคม 2540 ถึงวันนัดโจทก์ จำเลยที่ 2 มาศาล โจทก์แถลงว่า ได้มอบให้พนักงานสอบสวนสอบสวนนายวันชัย ศิริธรรมคุณ เจ้าพนักงานเขตแล้วได้ความว่า จนถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 ได้มีการรื้อถอนอาคารแล้ว แต่การรื้อถอนยังไม่เสร็จสิ้น คงเหลือส่วนที่เป็นหลังคา สำหรับบันไดเวียน ด้านหลังได้รื้อถอนแล้ว เข้าใจว่าน่าจะมีการรื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมมาก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2538 สภาพอาคารที่รื้อถอนแล้วปรากฏตามภาพถ่ายหมาย ร.2 ถึง ร.5 และคำให้การหมาย ร.1 นอกจากนี้พนักงานสอบสวนได้สอบสวนนางสาวประดับพร เลิศเลอพันธ์นางฮั้ว แซ่อ๋อง และนางสุนันท์ สุขะตุงคะ ซึ่งเป็นเพื่อนบ้าน ได้ความว่า ได้มีการรื้อถอนบันไดเวียนด้านหลังอาคารรื้อผนังห้องส่วนที่ต่อเติมบนดาดฟ้าออกไปแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2538 คงเหลือเพียงหลังคา ตามคำให้การหมาย ร.6 ถึง ร.8 ส่วนจำเลยที่ 2 แถลงว่า ได้รื้อถอนอาคารโดยทุบผนังอาคารออกทุกด้าน รื้อถอนบันไดเวียน ด้านหลังอาคารทำให้สภาพอาคารที่รื้อถอนออกไปไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้และอาคารส่วนที่ต่อเติมมีบันไดทางขึ้นเฉพาะบันไดเวียน เท่านั้น โจทก์แถลงขอส่งคำให้การนายวันชัย ตามเอกสารหมาย ร.9 ประกอบการพิจารณา ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้ให้รอฟังคำสั่ง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว ฟังว่าจำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนบันไดเวียนด้านหลังอาคารและทุบผนังอาคารออกคงเหลือโครงเหล็กหลังคาซึ่งยังไม่มีการรื้อถอน จึงเห็นว่าจำเลยรื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมยังไม่หมด
จำเลยที่ 2 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมเสร็จแล้วหรือไม่ ตั้งแต่วันเวลาใด ซึ่งจำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารเสร็จสิ้นแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2538 โครงเหล็กหลังคาที่เหลืออยู่ไม่ได้เป็นส่วนที่ผิดกฎหมาย หากเห็นว่ายังมีโครงเหล็กหลังคาเหลืออยู่ก็ให้มีคำสั่งว่า โครงเหล็กหลังคาส่วนที่เหลืออยู่นี้จำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนเสร็จแล้วตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2539 หากศาลฎีกาไม่อาจรับฟังเป็นยุติได้ในส่วนนี้ ก็ขอให้มีคำสั่งให้ศาลชั้นต้นไต่สวนพยานในส่วนนี้ต่อไป เพื่อจำเลยทั้งสองจะได้นำพยานหลักฐานมาแสดงต่อศาลชั้นต้นเพื่อให้ได้ข้อยุติดังกล่าวพิเคราะห์แล้วได้ความตามคำแถลงของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ทุบผนังอาคารออกทุกด้านรื้อบันไดเวียน ด้านหลังออก ทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว ตามคำแถลงของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวแสดงว่า จำเลยที่ 2 ยังไม่ได้รื้อถอนส่วนที่เป็นโครงเหล็กหลังคาออกแต่อย่างใด ที่นายสุเทพ เจริญพร ทนายความของสำนักงานประกอบนิติสาร ผู้รับมอบอำนาจช่วงจากวัดเทพศิรินทราวาสผู้ให้เช่าอาคารพิพาทแถลงว่าจำเลยที่ 2ได้รื้อถอนอาคารจนอยู่ในสภาพเดิมตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2538จึงขัดแย้งกับที่จำเลยที่ 2 แถลง เมื่อฟังประกอบกับภาพถ่ายแสดงสภาพอาคารที่รื้อถอนที่จำเลยที่ 2 นำมาแสดงต่อศาลและภาพถ่ายหมาย ร.5 ที่โจทก์ส่งอ้างยิ่งแสดงให้เห็นว่าจำเลยยังไม่ได้รื้อถอนอาคารส่วนที่เป็นหลังคาออกแต่อย่างใดนายวันชัย ศิริธรรมคุณ เจ้าพนักงานเขตราชเทวี ให้การต่อพนักงานสอบสวนเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2540 ตามเอกสารหมาย ร.1 ว่า ตามที่เคยให้การเมื่อวันที่ 24 พฤษภาคม 2539 ว่า ยังไม่ได้มีการรื้อถอนนั้น ความจริงคือ ได้มีการรื้อถอนแล้วแต่การรื้อถอนยังไม่เสร็จสิ้น คงเหลือส่วนที่เป็นหลังคาของชั้นที่ต่อเติมสำหรับบันไดเวียน ด้านหลังอาคารได้รื้อถอนหมดแล้วรวมทั้งมีการรื้อผนังชั้นที่ต่อเติม จากสภาพที่รื้อถอนดังกล่าวไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้แล้ว จึงไม่อาจยืนยันได้ว่า จะมีการรื้อถอนเสร็จก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2538 หรือไม่ แต่ก็เชื่อว่ามีการรื้อถอนมาก่อนวันที่ 9 มิถุนายน 2538 ดังนี้ เห็นว่าการรื้อถอนอาคารตามคำพิพากษานั้นย่อมมีความหมายว่าต้องรื้อถอนส่วนอันเป็นโครงสร้างของอาคารที่ต่อเกินจากทั้งหมดให้กลับสู่สภาพเดิม เมื่อปรากฏว่ายังมีโครงเหล็กหลังคาเหลืออยู่จะถือว่าจำเลยทั้งสองได้รื้อถอนเสร็จแล้วยังไม่ได้ ส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างกฎกระทรวง ฉบับที่ 11 (พ.ศ. 2528)ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. 2522 ข้อ 2นั้น กฎกระทรวงดังกล่าวเป็นบทบัญญัติสำหรับให้ผู้จะรื้อถอนอาคารจะต้องขออนุญาตมิใช่บทบัญญัติที่ให้ถือว่าจำเลยที่ 2 ได้รื้อถอนอาคารเสร็จแล้วแต่อย่างใด ที่จำเลยที่ 2 ขอให้ศาลฎีกามีคำสั่งแสดงว่าโครงเหล็กหลังคาส่วนที่เหลืออยู่ได้รื้อถอนเสร็จสิ้นไปแล้ว ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2539 นั้น ข้อเท็จจริงตามที่ศาลชั้นต้นไต่สวนมาแล้วในคดีนี้ยังไม่พอแก่การวินิจฉัยเพราะจำเลยที่ 2 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์คำสั่งชอบที่จำเลยทั้งสองจะยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้นเพื่อไต่สวนในกรณีนี้ต่อไป
พิพากษายืน