คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8812/2550

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยยึดรถยนต์พิพาทจากบ้านของโจทก์ไปไว้ที่บริษัทจำเลย ไม่ได้ความว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อก่อน กลับได้ความว่าในวันดังกล่าวฝ่ายโจทก์นำค่าเช่าซื้อไปชำระให้แก่จำเลยจำนวนหนึ่ง จำเลยก็รับไว้ การที่จำเลยยึดรถยนต์พิพาทจากโจทก์ในระหว่างการเช่าซื้อถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อจำเลยย่อมไม่มีสิทธิริบเงินดาวน์และค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้ชำระไปตามสัญญาเช่าซื้อ
หลังจากที่จำเลยยึดรถยนต์พิพาทคืนไปจากโจทก์แล้ว โจทก์มีหนังสือให้จำเลยคืนเงินดาวน์และค่าเช่าซื้อทั้งหมดให้แก่โจทก์ จึงถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาต่อจำเลย สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นอันเลิกกัน ผลแห่งการเลิกสัญญาดังกล่าวคู่สัญญาจะต้องกลับสู่ฐานะเดิม จำเลยต้องคืนเงินที่ได้รับตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ และโจทก์ต้องรับผิดในค่าขาดประโยชน์ของจำเลยในระหว่างที่โจทก์ครอบครองและใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาทของจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 427,850 บาท ให้แก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษากลับว่า ให้จำเลยชำระเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 19 กันยายน 2540) จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ให้จำเลยชำระในทุนทรัพย์เท่าที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความรวม 3,000 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติโดยคู่ความไม่โต้แย้งในชั้นฎีกาว่า เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 2538 โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากจำเลยในราคา 1,049,000 บาท โดยชำระเงินดาวน์ในวันทำสัญญา 140,000 บาท ส่วนที่เหลือตกลงชำระรวม 60 งวด งวดละเดือน เดือนละ 15,150 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 25 มกราคม 2539 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 25 ของเดือนจนกว่าจะครบ นับแต่วันทำสัญญาโจทก์ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่จำเลยเรื่อยมารวมเป็นเงิน 427,850 บาท ในวันที่ 18 สิงหาคม 2540 ฝ่ายโจทก์นำเงินค่าเช่าซื้อไปชำระให้แก่จำเลยอีกจำนวนหนึ่งและในวันดังกล่าวเวลาบ่ายรถยนต์พิพาทไปจอดอยู่ที่บริษัทจำเลย
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องคืนเงิน 110,000 บาท ให้แก่โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยหรือไม่ ในปัญหาดังกล่าวมีปัญหาต้องวินิจฉัยก่อนว่า ในวันที่ 18 สิงหาคม 2540 โจทก์นำรถยนต์พิพาทไปซ่อมที่บริษัทจำเลยแล้วไม่ไปรับรถยนต์พิพาทคืน หรือจำเลยยึดรถยนต์พิพาทไปไว้ที่บริษัทจำเลย ตามรูปคดีรับฟังได้ว่าในวันที่ 18 สิงหาคม 2540 จำเลยยึดรถยนต์พิพาทจากบ้านของโจทก์ไปไว้ที่บริษัทจำเลย ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าจำเลยบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อแก่โจทก์ก่อนที่จะไปยึดรถยนต์พิพาท กลับได้ความว่าในวันดังกล่าวฝ่ายโจทก์นำเงินค่าเช่าซื้อไปชำระให้แก่จำเลยจำนวนหนึ่ง ซึ่งจำเลยก็รับไว้ การที่จำเลยไปยึดรถยนต์พิพาทจากโจทก์ในระหว่างการเช่าซื้อจึงถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาเช่าซื้อ จำเลยย่อมไม่มีสิทธิริบเงินดาวน์และค่าเช่าซื้อที่โจทก์ได้ชำระไปตามสัญญาเช่าซื้อ และหลังจากที่จำเลยยึดรถยนต์พิพาทคืนไปจากโจทก์แล้ว โจทก์มีหนังสือให้จำเลยคืนเงินดาวน์และค่าเช่าซื้อทั้งหมดให้แก่โจทก์ จึงถือว่าโจทก์บอกเลิกสัญญาต่อจำเลย สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์และจำเลยจึงเป็นอันเลิกกัน ผลแห่งการเลิกสัญญาดังกล่าวคู่สัญญาจะต้องกลับสู่ฐานะเดิม จำเลยต้องคืนเงินที่ได้รับตามสัญญาเช่าซื้อให้แก่โจทก์ และโจทก์ก็ต้องรับผิดในค่าขาดประโยชน์ของจำเลยในระหว่างที่โจทก์ครอบครองและใช้ประโยชน์ในรถยนต์พิพาทของจำเลย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 คิดคำนวณแล้วพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 110,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จให้แก่โจทก์นั้น ศาลฎีกาแผนกคดีพาณิชย์และเศรษฐกิจเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้คืนค่าขึ้นศาลชั้นฎีกาส่วนที่เกินทุนทรัพย์ 110,000 บาท และค่าขึ้นศาลอนาคตแก่จำเลย ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาในส่วนที่มิได้คืนให้เป็นพับ โจทก์แก้ฎีกาเองจึงไม่กำหนดค่าทนายความชั้นฎีกาให้

Share