คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 248/2531

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

แม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่า ก. เป็นบิดาโจทก์ แต่พฤติการณ์ที่ ก. แสดงออกมีเพียงว่า ก. นำเงินไปให้มารดาโจทก์ที่โรงพยาบาลในวันที่โจทก์เกิด และก่อนมารดาโจทก์จะออกจากโรงพยาบาล ก. ก็ได้ไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อออกไปอยู่บ้าน ก. ก็ไปเยี่ยมและส่งเสียมารดาโจทก์และโจทก์ เมื่อโจทก์เข้าเรียนเมื่ออายุ 4 ปี ก. เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายตลอดมาจน ก. ถึงแก่กรรม เพียงเท่านี้ยังถือไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่ ก. รับรองแล้ว.(ที่มา-ส่งเสริม)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขเพิ่มเติมคำฟ้องว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายของนายกั๊น แซ่เต็ง หรือนายกันต์ กัณฑ์ไพบูลย์ ซึ่งบิดารับรองแล้ว หลังจากนายกัณฑ์ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นได้ตั้งให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 1 ละเลยไม่ปฏิบัติหน้าที่ผู้จัดการมรดก จำเลยที่ 2 พยายามถอนเงินกองมรดกมาเพื่อประโยชน์ส่วนตัว เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรมศาลได้มีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 3 เข้าเป็นผู้จัดการมรดกแต่ผู้เดียว จำเลยที่ 2 ปิดบังทรัพย์มรดกของนายกันต์เป็นของจำเลยที่ 3 และที่ 4 เพียง 2 คน ขอให้ศาลพิพากษาให้ตัดจำเลยที่ 2 และที่ 3 ออกจากกองมรดกของนายกันต์ ถ้าศาลเห็นว่ายังไม่ควรตัดออกจากกองมรดก ก็ขอให้โจทก์ได้รับส่วนแบ่งเป็นเงิน 8,854,000 บาท ถ้าจำเลยไม่อาจแบ่งให้โจทก์ได้ก็ให้เอาทรัพย์มรดกออกขายทอดตลาดเอาเงินแบ่งให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องไปจนกว่าโจทก์จะได้รับเงินดังกล่าว
ก่อนชี้สองสถาน จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม ไม่มีทายาทผู้ใดเข้าเป็นคู่ความแทนที่ ศาลชั้นต้นจึงจำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 1
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ให้การทำนองเดียวกันว่า โจทก์ไม่ใช่บุตรนายกันต์ กัณฑ์ไพบูลย์ นายกันต์ไม่เคยกินอยู่หลับนอนกับมารดาโจทก์ ไม่เคยนำโจทก์ไปฝากเข้าโรงเรียนไม่เคยอุปการะเลี้ยงดูอย่างบุตร ไม่เคยอนุญาตให้มารดาโจทก์ใช้นามสกุลจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่เคยปิดบังหรือเบียดบังทรัพย์มรดก ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์นำสืบไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุตรที่นายกันต์ กัณฑ์ไพบูลย์รับรองแล้ว จึงไม่มีอำนาจฟ้องพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ฟังว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่บิดารับรองแล้วจึงมีอำนาจฟ้องขอแบ่งมรดกนายกันต์ได้ พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาในประเด็นอื่นใหม่แล้วมีคำพิพากษาไปตามรูปคดี
จำเลยที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ‘พิเคราะห์แล้ว มีปัญหาว่า โจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายกันต์ กัณฑ์ไพบูลย์ เจ้ามรดกรับรองแล้วหรือไม่ โจทก์มีนางสมควร อยู่สุข มารดาโจทก์ มาเบิกความว่าเมื่อโจทก์เกิดที่โรงพยาบาลหัวเฉียวแล้วก็ให้นางทรงศรีพยาบาลโทรศัพท์บอกนายกันต์ วันเดียวกันนายกันต์ก็ไปที่โรงพยาบาลเอาเงินให้ อยู่สักพักก็กลับ พยาบาลเป็นคนแจ้งการเกิดเด็กให้โดยถามพยานว่าแม่ชื่ออะไร พ่อชื่ออะไรก่อนออกจากโรงพยาบาลนายกันต์ไปเยี่ยมอีกครั้งหนึ่ง เมื่อออกไปอยู่บ้านนายกันต์ก็ไปเยี่ยมส่งเสียพยานและโจทก์เมื่อโจทก์อายุได้ 4 ปี โจทก์เข้าเรียนที่โรงเรียนโชคชัยวิทยา นายกันต์เป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายจนโจทก์จบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 แล้วโจทก์ย้ายไปเรียนโรงเรียนหัวหินวิทยาอยู่ที่อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 1 ปี ก็ย้ายมาเรียนโรงเรียนพันธะศึกษาจนถึงปัจจุบัน นายกันต์เป็นผู้ส่งเสียให้โจทก์ตลอดมาจนถึงแก่กรรม นางอุลิต มโนทัย ลูกพี่ลูกน้องกับมารดาโจทก์เบิกความว่านางสมควรตั้งครรภ์พยานยังไม่ทราบ เพิ่งทราบเมื่อนางสมควรคลอดบุตรแล้ว ระหว่างที่โจทก์อายุ 6-7 เดือนจนถึงอายุ 1 ปีเศษ นางสมควรได้พาโจทก์มาฝากไว้ที่บ้านพยาน แล้วนางสมควรไปรับเงินจากนายกันต์มาเป็นค่าเลี้ยงดูโจทก์ นางทรงศรี ปวุตตานนท์เบิกความว่า พยานเป็นผู้ทำคลอดให้นางสมควร หลังคลอดแล้วนายกันต์มาเยี่ยมนางสมควร 1 ครั้ง เมื่อพักฟื้นครบ 7 วันแล้วนางสมควรก็ออกจากโรงพยาบาลนายยืนยง เปล่งขำ สามีนางสมควรเบิกความว่า พยานเลี้ยงดูโจทก์มาตั้งแต่เริ่มอยู่กินกับนางสมควร นายกันต์ไปมาหาสู่เลี้ยงดูให้การศึกษาแก่โจทก์เดือนละ 1,500 บาทตลอดมาจนนายกันต์ถึงแก่กรรมนอกจากพยานบุคคลของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ก็มีใบสุทธิของโรงเรียนโชคชัยวิทยา กับสำเนาทะเบียนบ้านมาแสดงเป็นหลักฐานว่า โจทก์เป็นบุตรนายกั้น กันไพบูลย์ ตามคำเบิกความของนางสมควรมารดาโจทก์ เมื่อโจทก์เกิดแล้วนางสมควรเป็นผู้แจ้งแก่พยาบาลผู้ไปแจ้งการเกิดของโจทก์ว่าบิดาโจทก์ชื่อนายกั้น กันไพบูลย์ ไม่ใช่ตัวนายกันต์แจ้งเอง เมื่อเข้าโรงเรียน นายกันต์ก็มิได้นำโจทก์ไปแจ้งแก่โรงเรียนว่าโจทก์เป็นบุตร นางสมควรมารดาโจทก์คงเป็นผู้นำโจทก์ไปเข้าโรงเรียนเอง จึงได้แจ้งชื่อนายกันต์ กัณฑ์ไพบูลย์ ว่าเป็นนายกั้น กันไพบูลย์ ซึ่งเขียนชื่อและนามสกุลไม่ตรงกันหากนายกันต์เป็นผู้แจ้งก็น่าจะเขียนชื่อและนามสกุลได้ถูกต้อง แม้จะฟังว่านายกันต์เป็นบิดาของโจทก์จริง แต่พฤติการณ์ที่นายกันต์แสดงต่อโจทก์มิใช่เป็นการรับรองแก่บุคคลทั่วไปว่าโจทก์เป็นบุตร นายกันต์คงไปเยี่ยมเยียนและให้ความอุปการะแก่มารดาของโจทก์ด้วยมนุษยธรรม ไม่ได้ยกย่องว่าโจทก์เป็นบุตร เพราะหากนายกันต์จะรับรองว่าโจทก์เป็นบุตร นายกันต์ก็น่าจะอุปการะโจทก์ให้ได้รับการศึกษาที่ดีกว่านี้ และคงไม่ต้องส่งโจทก์ไปอยู่กับพี่ชายของมารดาโจทก์ที่อำเภอหัวหินเพราะนายกันต์เป็นผู้มีฐานะดีเมื่อภริยานายกันต์ยังมีชีวิตอยู่ นายกันต์อาจเกรงกลัวภริยาไม่กล้าอุปการะโจทก์ให้เป็นที่เปิดเผย ต่อมาเมื่อภริยานายกันต์ถึงแก่กรรมแล้ว นายกันต์ก็มิได้นำโจทก์เข้ามาอยู่ในบ้านหรือแนะนำโจทก์ต่อผู้ใดว่าเป็นบุตรและอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ให้มีฐานะดีกว่าที่เป็นอยู่ข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นบุตรนอกกฎหมายที่นายกันต์บิดารับรองแล้ว โจทก์ไม่มีสิทธิรับมรดกของนายกันต์ จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอแบ่งมรดกนายกันต์ ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยประเด็นอื่นต่อไป ฎีกาของจำเลยที่ 3 และที่ 4ฟังขึ้น แม้จำเลยที่ 2 จะมิได้ฎีกาศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาให้มีผลถึงจำเลยที่ 2 ด้วย เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการชำระหนี้อันไม่อาจแบ่งแยกได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบด้วยมาตรา247’
พิพากษากลับให้ยกฟ้อง.

Share