คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 245/2531

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ฟ้องโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยโอนขายที่นาพิพาทให้แก่โจทก์ตามพื้นที่ที่โจทก์เช่าทำนาอยู่เดิม มิใช่เป็นการฟ้องบังคับตามเนื้อหาแห่งสัญญาเช่า หากแต่เป็นการอ้างว่ามีการเช่า เพื่อผลที่จะได้สิทธิในการซื้อที่นาที่เช่าก่อนคนอื่น ตามพระราชบัญญัติการเช่าที่ดินเพื่อการเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 รายละเอียดของสัญญาเช่าดังกล่าว จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายในฟ้อง และฟ้องโจทก์ได้บรรยายพอเข้าใจได้ว่าที่นาพิพาทอยู่ทางตอนใดของที่ดิน ส่วนจะมีอาณาเขตแน่นอนอย่างไร เป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา ทั้งการที่จำเลยให้การว่า ก่อนจะโอนขายที่นาพิพาทได้แจ้งให้โจทก์ทราบแล้วโจทก์ไม่แสดงความจำนงว่าจะซื้อ และโจทก์ไม่ใช่ผู้เช่านาตามกฎหมาย เป็นคำให้การตรงตามประเด็นที่โจทก์ฟ้อง แสดงว่าจำเลยเข้าใจสภาพแห่งข้อหา คำขอบังคับและข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาตามฟ้องโจทก์ได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งแปดได้ร่วมกันรับซื้อที่ดินที่โจทก์ทั้งสองเช่าทำนาสืบต่อจากบิดามารดาโดยการโอนขายนี้ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เพราะไม่ได้แจ้งการขายให้โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นผู้เช่านาทราบก่อนตามกฎหมาย ขอให้บังคับจำเลยทั้งแปดโอนขายที่ดินให้โจทก์ทั้งสองตามพื้นที่ที่เช่าทำนาอยู่เดิม ถ้าจำเลยไม่ยอมโอน ขอให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย จำเลยทั้งแปดให้การต่อสู้หลายประการรวมทั้งให้การว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม พิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนโจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ในประเด็นแรกเรื่องฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่นั้น จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6อ้างว่า เนื่องจากโจทก์ไม่บรรยายฟ้องว่าการเช่านาของโจทก์มีหลักฐานอย่างไร อัตราค่าเช่าเท่าใด มีกำหนดเวลาเท่าใด เริ่มต้นเช่าแต่เมื่อใด ครบกำหนดเมื่อใด มีการชำระค่าเช่าแล้วหรือไม่และโจทก์ได้รับอนุญาตใครให้เช่าช่วง เห็นว่า คดีนี้มิใช่เป็นการฟ้องบังคับตามเนื้อหาแห่งสัญญาเช่า หากเป็นการอ้างว่ามีการเช่าเพื่อผลที่จะได้สิทธิในการซื้อที่นาที่เช่าก่อนคนอื่นตามพระราชบัญญัติ การเช่าที่ดินเพื่อเกษตรกรรม พ.ศ. 2524 ดังนั้นรายละเอียดของสัญญาเช่าดังกล่าวจึงยังไม่จำเป็นจะต้องบรรยายไว้ในฟ้อง เป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบในชั้นพิจารณาได้ ส่วนเรื่องที่จำเลยอ้างว่าโจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากใครให้เช่าช่วงได้นั้น ปรากฏว่าโจทก์ได้กล่าวในฟ้องว่าโจทก์ทั้งสองเป็นผู้เช่าที่นา มิใช่กล่าวว่าเป็นผู้เช่าช่วง ข้อความที่ว่า”สืบต่อบิดามารดามา” นั้น ก็เป็นเพียงการอธิบายว่าเป็นการเช่าของโจทก์ต่อจากที่บิดามารดาของโจทก์เคยเช่ามาก่อนเท่านั้นจะแปลความหมายเป็นเรื่องเช่าช่วงหาได้ไม่ ดังนั้น ฟ้องโจทก์ในส่วนนี้จึงไม่เคลือบคลุม
ในส่วนที่จำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8อ้างว่า โจทก์มิได้บรรยายฟ้องว่าที่นาพิพาทที่โจทก์จะบังคับให้จำเลยโอนให้นั้นอยู่ที่ตรงไหน มีอาณาเขตทั้งสี่ทิศติดที่ดินของผู้ใดนั้น เห็นว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องไว้ว่า โจทก์ทั้งสองเช่านาทำคนละ 25 ไร่ ติดแถบตะวันตก (ของที่ดิน) ปลายนาแถบใต้ติดคลองพระพิมล แม้โจทก์จะบรรยายรวบรัดไปบ้าง แต่ก็เป็นที่พอเข้าใจได้ว่า อาณาเขตที่นาพิพาทอยู่แถบตะวันตกของที่ดิน โดยทางด้านใต้ติดคลองพระพิมล ซึ่งพอเข้าใจได้ว่าที่นาพิพาทอยู่ทางส่วนใดของที่ดินแล้ว ส่วนจะมีอาณาเขตแน่นอนอย่างไรเป็นเรื่องที่โจทก์จะนำสืบได้ในชั้นพิจารณา
ปรากฏตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาที่ดินท้ายฟ้องว่าจำเลยทั้งแปดร่วมกันซื้อที่ดิน จึงถือว่าต่างมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทุกส่วนของที่ดิน โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยทั้งแปดร่วมกันโอนขายที่นาพิพาทให้โจทก์ทั้งสองเป็นคำขอบังคับที่แจ้งชัดตามนัยแห่งมาตรา172 วรรคสองแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งแล้ว
คดีนี้จำเลยทั้งแปดให้การต่อสู้ว่า ก่อนที่หลวงพรสมิทธวิชชาการจะขายที่นาพิพาท ได้แจ้งให้โจทก์ทั้งสองทราบแล้ว แต่โจทก์ทั้งสองไม่แสดงความจำนงจะซื้อที่ดิน สำหรับจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 5 ที่ 6 ที่ 7 และที่ 8 ได้ให้การต่อสู้ด้วยว่าโจทก์ทั้งสองไม่ใช่ผู้เช่านาของหลวงพรสมิทธวิชชาการตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ให้การปฏิเสธการเช่าที่นาพิพาทของโจทก์ทั้งสอง จะเห็นได้ว่าจำเลยทั้งแปดให้การต่อสู้คดีได้ถูกต้องตรงกับประเด็นที่โจทก์ฟ้อง แสดงว่าจำเลยทั้งแปดเข้าใจสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับของโจทก์ และข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาเช่นว่านั้นได้ดี ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโดยวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมนั้นไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา และเนื่องจากคดีมีประเด็นข้อพิพาทอื่นอีก 2 ข้อ ที่ศาลล่างทั้งสองมิได้วินิจฉัยไว้ ศาลฎีกาเห็นว่าเพื่อให้การพิจารณาพิพากษาเป็นไปตามขั้นตอนตามลำดับชั้นของศาลจึงเป็นการสมควรให้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ได้พิจารณาในประเด็นอีก 2 ข้อนั้นเสียก่อน”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาใหม่ตามนัยที่ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้ข้างต้นค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่

Share