คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3197-3198/2525

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

เมื่อคำชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานมีผลใช้บังคับ โจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างและจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องผูกพันตามคำชี้ขาดนั้น หากนายจ้างประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขในคำชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานต้องยื่นข้อเรียกร้องดำเนินการตามขั้นตอนที่พระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ ฯ กำหนดไว้นายจ้างจะดำเนินการไปฝ่ายเดียวโดยลูกจ้างไม่ยินยอมด้วยไม่ได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยได้จ้างโจทก์สองสำนวนเป็นลูกจ้างประจำ เมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ โจทก์ทั้งสองสำนวนและลูกจ้างอื่นได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อจำเลย เจรจาตกลงกันได้บางข้อและข้อ ๙ ได้มีการตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานผู้ชี้ขาดได้ทำคำชี้ขาดว่าให้บริษัทจำเลยจ่ายเงินเบี้ยขยันให้แก่พนักงานผู้ที่ไม่ลากิจ ลาป่วย ขาดงานหรือมาทำงานสายในรอบหนึ่งเดือนเท่ากับค่าจ้างของพนักงานผู้นั้น ๑ วัน ถือว่าเป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างต่อมาจำเลยไม่จ่ายเบี้ยขยันให้โจทก์ทุกคนในสำนวนแรกที่มาทำงานใน เดือนมีนาคม ๒๕๒๕ และไม่จ่ายเบี้ยขยันให้โจทก์สำนวนที่ ๒ ที่มาทำงานในเดือนเมษายน ๒๕๒๕ ขอให้จำเลยจ่ายเบี้ยขยันให้โจทก์ทั้งสองสำนวนเท่ากับอัตราค่าจ้างคนละหนึ่งวันตามคำขอท้ายฟ้อง
จำเลยให้การว่า หลักเกณฑ์ในการพิจารณาเบี้ยขยันนอกจากพิจารณาจากการที่ไม่ลากิจ ลาป่วย ขาดงาน หรือมาทำงานสายในรอบเดือนแล้วยังต้องพิจารณาการทำงานของพนักงานผู้ที่จะมีสิทธิได้รับเบี้ยขยันอีกด้วยว่ามีความตั้งใจในการทำงาน และมีความพยายามในการที่จะทำงานให้ได้ผลดีหรือไม่อีกด้วย จำเลยได้มอบให้หัวหน้าแผนกเป็นผู้ดูแลรายงานการทำงานของพนักงานที่มีคุณสมบัติครบถ้วนและจะมีสิทธิได้รับเบี้ยขยันเสนอต่อฝ่ายบุคคลของจำเลยเพื่อจะได้อนุมัติจ่ายเบี้ยขยันให้แก่ผู้มีสิทธิได้รับไปและจำเลยได้จ่ายเบี้ยขยันให้แก่ผู้มีสิทธิรับไปแล้ว
ส่วนโจทก์นั้นเป็นบุคคลซึ่งไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นผู้รับเบี้ยขยันโจทก์ทุกคนไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยขยันตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง
ในวันนัดพิจารณา โจทก์จำเลยแถลงรับข้อเท็จจริงว่าพนักงานของจำเลยได้ยื่นข้อเรียกร้องจนเกิดข้อพิพาทขึ้นและได้ตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ผู้ชี้ขาดได้ทำคำชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ลงวันที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๒๔ เกี่ยวกับเบี้ยขยันมีเงื่อนไขตามคำชี้ขาดข้อ ๙ เอกสารหมาย ล.๑ ตามคำชี้ขาดในข้อ ๙ ให้บริษัทจ่ายเงินเบี้ยขยันให้กับพนักงานที่ไม่ลากิจ ลาป่วย ขาดงานหรือทำงานสายในรอบ ๑ เดือนเท่ากับค่าจ้าง ๑ วันนับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่มีสิทธิได้รับเบี้ยขยันเพราะลากิจ ลาป่วย ขาดงาน หรือมาทำงานสาย แต่ต่อสู้ว่าจะต้องปรากฏว่าขยันอีกด้วย แล้วหัวหน้างานจึงจะรายงานให้จำเลยทราบว่าลูกจ้างคนใดมีสิทธิได้รับเบี้ยขยัน และจำเลยได้ประกาศหลักเกณฑ์ในการจ่ายเบี้ยขยันตามเอกสารหมาย ล.๑ เท่ากับจำเลยได้อ้างเงื่อนไขในการจ่ายเบี้ยขยันเพิ่มเติมจากคำชี้ขาดข้อ ๙ จึงมีปัญหาว่าจำเลยมีสิทธิเพิ่มเติมเงื่อนไขในการจ่ายเบี้ยขยันนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในคำชี้ขาดข้อ ๙ หรือไม่ ศาลแรงงานกลางเห็นว่าคดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดสืบพยานโจทก์จำเลยสำหรับโจทก์ที่ ๒๔ ในสำนวนแรกแถลงขอถอนฟ้อง จำเลยไม่คัดค้าน ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้โจทก์ถอนฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้ววินิจฉัยว่าเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๙ เป็นข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างมีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้างและจำเลยซึ่งเป็นนายจ้างต้องตามบทบัญญัติแห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๒๐ ที่ห้ามมิให้นายจ้างเปลี่ยนแปลงข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างเว้นแต่เป็นคุณแก่ลูกจ้างยิ่งกว่า การที่จำเลยได้ประกาศเอกสารหมาย ล.๑ เพิ่มเติมข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้างที่เป็นโทษแก่ลูกจ้างหามีผลใช้บังคับไม่ พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเบี้ยขยันประจำเดือนมีนาคมให้แก่โจทก์สำนวนแรกคือ โจทก์ที่ ๑ ที่ ๖ ถึงที่ ๑๒ ที่ ๑๗ ถึงที่ ๑๘ ที่ ๒๑ ถึงที่ ๒๔ คนละ ๖๑ บาท ให้โจทก์ที่ ๒ ถึงที่ ๕ ที่ ๑๓ ที่ ๑๕ ถึงที่ ๑๖ ที่ ๑๙ ถึงที่ ๒๐ คนละ ๖๓ บาท จ่ายเงินเบี้ยขยันประจำเดือนเมษายน ๒๕๒๕ ให้โจทก์สำนวนที่ ๒ คือโจทก์ที่ ๑ ที่ ๕ ที่ ๖ ที่ ๙ ที่ ๑๑ ที่ ๑๗ ที่ ๑๘ ที่ ๒๐ ถึงที่ ๒๓ คนละ ๖๑ บาทให้โจทก์ที่ ๘ ๖๒ บาท โจทก์ที่ ๑๒ ๖๓ บาท
จำเลยทั้งสองสำนวนอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ทั้งสองสำนวนเป็นลูกจ้างของจำเลยได้รับค่าจ้างรายวันตามคำฟ้องเมื่อวันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ โจทก์กับพวกได้ยื่นข้อเรียกร้อง โจทก์จำเลยได้เจรจาตกลงกันได้ในบางข้อ ข้อที่ตกลงกันไม่ได้ได้ตกลงกันตั้งผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงาน ผู้ชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานได้ทำคำชี้ขาดเกี่ยวกับเบี้ยขยันในคำชี้ขาดเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๙ ว่า “บริษัทฯ ยินดีจ่ายเงินเบี้ยขยันให้กับพนักงานทุกคนที่ไม่ลากิจ ลาป่วย ขาดงาน หรือมาทำงานสายในรอบ ๑ เดือนเดือนละเท่ากับค่าจ้างของผู้นั้น ๑ วันนับแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป”ปรากฏว่าจำเลยไม่ยอมจ่ายเบี้ยขยันให้แก่โจทก์สำนวนแรกสำหรับเดือนมีนาคม ๒๕๒๕ และไม่จ่ายเบี้ยขยันให้แก่โจทก์สำนวนที่ ๒ สำหรับเดือนเมษายน ๒๕๒๕ โดยจำเลยยอมรับว่าโจทก์ไม่ได้ลากิจ ลาป่วย หรือขาดงาน หรือมาทำงานสายในเดือนนั้น แต่กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะได้รับเบี้ยขยันเพราะไม่ปฏิบัติให้ถูกต้องตามเงื่อนไขของบริษัทจำเลยที่ประกาศใช้บังคับเกี่ยวกับการจ่ายเบี้ยขยัน ลงวันที่ ๒ กรกฎาคม ๒๕๒๔ ตามเอกสารหมาย ล.๑ ซึ่งมีเงื่อนไขอยู่ ๑๐ ข้อที่ลูกจ้างจะต้องปฏิบัติจึงมีคุณสมบัติได้รับเบี้ยขยัน เช่นต้องแต่งกายเรียบร้อยตามระเบียบของโรงงานที่กำหนดให้ ติดบัตรประจำตัวของตัวเองตลอดเวลาทำงาน ไม่ออกนอกสถานที่ปฏิบัติงานโดยไม่ได้รับอนุญาตต้องตั้งใจปฏิบัติงานโดยขยันขันแข็ง ฯลฯ เป็นต้น เมื่อลูกจ้างคนใดปฏิบัติถูกต้องตามเงื่อนไขแล้วหัวหน้างานจึงจะรายงานชื่อของลูกจ้างที่จะได้รับเบี้ยขยัน โจทก์ทั้งสองสำนวนนี้หัวหน้างานมิได้รายงานขึ้นมา จึงไม่จ่ายเบี้ยขยันให้ เห็นว่า ตามคำวินิจฉัยข้อพิพาทแรงงานเอกสารหมาย จ.๑ ข้อ ๙ กำหนดเงื่อนไขในการจ่ายเบี้ยขยันไว้เพียงว่า “ให้บริษัทฯ จ่ายเบี้ยขยันให้กับพนักงานผู้ที่ไม่ลากิจ ลาป่วย ขาดงาน หรือมาทำงานสายในรอบ ๑ เดือนเท่ากับค่าจ้างของพนักงานผู้นั้น ๑ วัน นับตั้งแต่วันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๒๔ เป็นต้นไป” คำชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานมีผลใช้บังคับซึ่งโจทก์ผู้เป็นลูกจ้างและจำเลยผู้เป็นนายจ้างจะต้องผูกพันตามคำชี้ขาด ผู้ใดที่ปฏิบัติถูกต้องตามข้อ ๙ นี้ก็มีสิทธิได้รับเบี้ยขยัน ผู้ใดฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามคำชี้ขาดข้อพิพาทแรงงานก็มีโทษตามมาตรา ๑๓๑ แห่งพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๘ และหากนายจ้างประสงค์จะแก้ไขเพิ่มเติมเงื่อนไขก็ต้องยื่นข้อเรียกร้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย นายจ้างจะดำเนินการไปฝ่ายเดียวโดยลูกจ้างไม่ยินยอมด้วยไม่ได้ กรณีจำเลยนี้จำเลยได้เพิ่มเติมเงื่อนไขอื่น ๆ ในการจ่ายเงินเบี้ยขยันปรากฏตามประกาศฯ เอกสารหมาย ล.๑ทำให้ลูกจ้างได้รับเบี้ยขยันยากยิ่งขึ้น ประกาศดังกล่าวย่อมไม่มีผลผูกพันโจทก์ซึ่งเป็นลูกจ้าง อุทธรณ์จำเลยทั้งสองสำนวนฟังไม่ขึ้น สำหรับโจทก์ที่ ๑๔ ที่ ๒๕ ในสำนวนแรก และโจทก์ที่ ๑ ที่ ๔ ที่ ๗ ที่ ๑๐ ที่ ๑๓ ที่ ๑๔ ที่ ๑๕ ที่ ๑๖ ที่ ๑๙ ในสำนวนที่ ๒ ซึ่งศาลแรงงานมิได้พิพากษาให้จำเลยจ่ายเงินเบี้ยขยันตามที่โจทก์ขอมานั้น โจทก์ดังกล่าวมิได้อุทธรณ์จึงไม่วินิจฉัยให้ ส่วนโจทก์ที่ ๒๔ ในสำนวนแรกขอถอนฟ้องและศาลแรงงานกลางมีคำสั่งอนุญาตแล้วที่ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายเบี้ยขยันให้โจทก์ที่ ๒๔ จึงไม่ถูกต้อง
พิพากษาแก้เป็นว่าไม่จ่ายเบี้ยขยันให้โจทก์ที่ ๒๔ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง

Share