แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ศาลชั้นต้นจะดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นคดีมโนสาเร่และยังไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งขณะจำเลยยื่นคำร้อง แต่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือไว้แล้วก่อนหน้านั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดโดยเฉพาะใน ป.วิ.พ.ลักษณะ 2 หมวดที่ 1ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ จึงต้องนำบทบัญญัติในคดีสามัญมาใช้บังคับตาม ป.วิ.พ.มาตรา 195 คือการแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 179 (3),180 เมื่อคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โดยยื่นในวันเดียวกันกับวันสืบพยานโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏเหตุที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อน หรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลงเล็กน้อย คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตและยกคำร้องจึงชอบแล้ว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ ให้ขับไล่จำเลยและบังคับรื้อถอนบ้านออกไป พร้อมทั้งชำระค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ๕๐๐ บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าส่งมอบที่ดินคืนให้โจทก์แล้วเสร็จ
ศาลชั้นต้นรับฟ้องให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างคดีมโนสาเร่โดยนัดจำเลยยื่นคำให้การและนัดสืบพยานโจทก์
จำเลยให้การว่า นายสีราช ชาวไร่ ยกที่ดินพิพาทให้แก่นายป้อมพรมสุด ปลูกบ้านเลขที่ ๙๘/๑ นายป้อมขายที่ดินพิพาทและบ้านเลขที่ ๙๘/๑ แก่นางองุ่นมารดาจำเลยเมื่อปี ๒๕๐๘ นางองุ่นให้ที่ดินพิพาทและบ้านแก่จำเลยเมื่อปี๒๕๓๒ จำเลยเป็นเจ้าของไม่ใช่อาศัยและต่อสู้ว่าคำฟ้องเคลือบคลุม คดีโจทก์ขาดอายุความฟ้องร้อง ขอให้ยกฟ้อง
วันนัดสืบพยานโจทก์ซึ่งเลื่อนมาสองครั้ง จำเลยยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การว่า นายป้อม พรมสุด อาศัยที่ดินพิพาทอยู่ถึงปี ๒๕๒๘ ก็ออกจากที่ดินพิพาทนางองุ่นมารดาจำเลยเข้าครอบครองแย่งการครอบครองจากนายศรี ชาวไร่ บิดาโจทก์นับแต่นั้น
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า จำเลยให้การต่อสู้กรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทไม่เป็นคดีมโนสาเร่ต่อไป ในดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างคดีสามัญ คำร้องขอแก้ไขคำให้การเป็นกรณีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙ (๓) ไม่ได้ดำเนินการตามมาตรา ๑๘๐ จึงไม่อนุญาตให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้น ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา๒๒๓ ทวิ วรรคหนึ่ง
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยอุทธรณ์ว่า จำเลยมีสิทธิแก้ไขคำให้การเพราะขณะยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การ ศาลชั้นต้นยังไม่ได้สั่งให้ดำเนินกระบวนพิจารณาอย่างคดีสามัญ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาเป็นคดีมโนสาเร่และยังไม่เปลี่ยนแปลงคำสั่งขณะจำเลยยื่นคำร้อง แต่จำเลยยื่นคำให้การเป็นหนังสือไว้แล้วก่อนหน้านั้น เมื่อไม่มีบทบัญญัติกฎหมายกำหนดโดยเฉพาะในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ลักษณะ ๒ หมวดที่ ๑ ว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีมโนสาเร่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีสิทธิแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำให้การเป็นอย่างใดหรือเมื่อไรก็ได้ตามต้องการ แต่ต้องนำบทบัญญัติในคดีสามัญมาใช้บังคับตามมาตรา ๑๙๕ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งคือการแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การในกรณีนี้อยู่ภายใต้บังคับประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๗๙ (๓), ๑๘๐ กล่าวคือกรณีที่ไม่มีการชี้สองสถาน ต้องยื่นคำร้องขอแก้ไขคำให้การก่อนวันสืบพยานไม่น้อยกว่าเจ็ดวันเว้นแต่มีเหตุอันสมควรที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนนั้นหรือเป็นการขอแก้ไขในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือข้อผิดหลงเล็กน้อย เมื่อคำร้องขอแก้ไขเพิ่มเติมคำให้การของจำเลยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งกฎหมายดังกล่าว โดยยื่นในวันเดียวกันกับวันสืบพยานโจทก์ ทั้งไม่ปรากฏเหตุที่ไม่อาจยื่นคำร้องได้ก่อนหรือเป็นเรื่องเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนหรือเป็นการแก้ไขข้อผิดพลาดเล็กน้อยหรือผิดหลงเล็กน้อยแต่อย่างใด คำสั่งศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตและยกคำร้องจึงชอบแล้ว
พิพากษายืน.