คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2649/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์และจำเลยต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาด้วยกันทั้งสองฝ่าย โจทก์และจำเลยจึงต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์และจำเลยต่างฝ่ายจึงมีสิทธิบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินตามคำพิพากษาโจทก์สามารถใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินได้เพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว รวมทั้งการปลดภาระจำนองของที่ดินด้วย แต่โจทก์มีภาระต้องชำระค่าที่ดินที่ค้างก่อนจึงจะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาเดิมฉะนั้นจำเลยจึงมีสิทธิขอให้ศาลออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาเมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิขอให้ศาลมีหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เป็นไปตามคำบังคับได้โดยชอบ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและหมายบังคับคดีชอบแล้ว ไม่มีเหตุจะต้องเพิกถอนหมายบังคับคดี

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 1160และที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 1299ให้แก่โจทก์ หากไม่อาจจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวได้ ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าเสียหายเป็นเงิน 21,990,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีแก่โจทก์ และให้จำเลยทั้งสองคืนเงินราคาที่ดิน 175,000 บาทที่โจทก์ชำระให้จำเลยทั้งสองตามสัญญาจะซื้อขายที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์นางโสภา ลานคำ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ศาลชั้นต้นอนุญาตศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์และโจทก์ร่วมอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินตามโฉนดเลขที่ 1160 เนื้อที่5 ไร่ 2 งาน 55 ตารางวา โดยปลอดภาระจำนอง และที่ดินตาม น.ส.3 ก.ทะเบียนเลขที่ 1299 เนื้อที่ 18 ไร่ 2 งาน 75 ตารางวา โดยปราศจากภาระติดพันเช่นเดียวกัน หากจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองในกรณีที่จำเลยทั้งสองไม่สามารถจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหาย 21,990,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จและคืนเงิน 175,000 บาทแก่โจทก์ คำขออื่นให้ยก จำเลยทั้งสองฎีกา ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่าให้จำเลยทั้งสองร่วมกันจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองในที่ดินตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ให้แก่โจทก์ โดยให้โจทก์ชำระเงินค่าที่ดินที่ค้างจำนวน 7,155,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงินสำหรับงวดที่ 1 จำนวน 1,710,000 บาทนับแต่วันที่ 1 เมษายน 2532 และในต้นเงินสำหรับงวดที่ 2 และที่ 3จำนวนงวดละ 1,815,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2532 และวันที่ 1 ตุลาคม 2532 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2532 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสองผิดสัญญาให้แก่จำเลยทั้งสองให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าทนายความชั้นฎีกา 150,000 บาท แทนโจทก์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

ศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับฉบับลงวันที่ 24 พฤษภาคม 2539ให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายในสามสิบวันและออกคำบังคับฉบับลงวันที่ 4 สิงหาคม 2540 ให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาลฎีกาภายในสามสิบวันเช่นเดียวกัน

โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีตามคำบังคับฉบับลงวันที่ 4 สิงหาคม 2540 ไว้ก่อน

ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

โจทก์ร่วมอุทธรณ์

โจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้งดการบังคับคดีตามคำบังคับฉบับลงวันที่ 4 สิงหาคม 2540 ไว้จนกว่าจำเลยทั้งสองจะได้ไถ่ถอนภาระจำนองเสียก่อน

ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ต่อมาศาลชั้นต้นได้ออกหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีฉบับลงวันที่ 5 พฤศจิกายน 2540 เพื่อทำการยึดทรัพย์สินโจทก์

โจทก์และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีตามหมายบังคับคดีไว้ก่อนจนกว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 จะมีคำสั่งชี้ขาด

ศาลชั้นต้นยกคำร้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาอุทธรณ์ของโจทก์และโจทก์ร่วมรวมสามฉบับแล้ว พิพากษายืน

โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมมีว่า จำเลยที่ 2 มีสิทธิบังคับคดีเอาแก่โจทก์หรือไม่ ปัญหาดังกล่าวโจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า ที่ดินที่จำเลยทั้งสองจะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองแก่โจทก์ยังติดภาระจำนองอยู่ไม่อาจจดทะเบียนโอนให้แก่โจทก์และโจทก์ร่วมได้โดยปลอดภาระจำนอง จำเลยที่ 2 จึงไม่อาจร้องขอให้บังคับคดีเอาแก่โจทก์และโจทก์ร่วมได้นั้น เห็นว่า นอกจากจำเลยทั้งสองจะต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้โจทก์แล้ว ศาลฎีกายังได้พิพากษาให้โจทก์ชำระค่าที่ดินที่ค้างชำระจำนวน 7,155,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในต้นเงินสำหรับงวดที่ 1 จำนวน 1,710,000 บาท นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2532 และในต้นเงินสำหรับงวดที่ 2 และที่ 3 จำนวนงวดละ 1,815,000 บาท นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2532 และวันที่ 1 ตุลาคม 2532 ตามลำดับ เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 15 ธันวาคม 2532 ซึ่งเป็นวันที่จำเลยทั้งสองผิดสัญญาให้แก่จำเลยทั้งสอง แสดงว่ามูลหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาดังกล่าวแยกต่างหากจากกัน โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาศาลฎีกาด้วยกันทั้งสองฝ่าย ซึ่งโจทก์และโจทก์ร่วมยอมรับไว้ในฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า โจทก์และจำเลยทั้งสองต่างมีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาโจทก์และจำเลยทั้งสองต่างฝ่ายจึงมีสิทธิบังคับให้เป็นไปตามคำพิพากษา ซึ่งการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินตามคำพิพากษาโจทก์สามารถใช้คำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยทั้งสองดำเนินการจดทะเบียนโอนที่ดินได้เพียงฝ่ายเดียวอยู่แล้ว รวมทั้งการปลดภาระจำนองของที่ดินด้วย ส่วนค่าใช้จ่ายในการปลดภาระจำนองโจทก์ย่อมเรียกเอากับจำเลยทั้งสองได้อยู่แล้ว ประกอบกับคำพิพากษามิได้บังคับให้จำเลยทั้งสองจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินให้แก่โจทก์โดยปลอดจากภาระจำนองก่อนจึงจะรับชำระเงินตามคำพิพากษาได้และหนี้เดิมตามคำพิพากษาโจทก์มีภาระต้องชำระค่าที่ดินที่ค้างก่อนจึงจะมีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยทั้งสองโอนกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินตามสัญญาเดิมอยู่แล้ว ฉะนั้นจำเลยทั้งสองจึงมีสิทธิขอให้ศาลออกคำบังคับให้โจทก์ปฏิบัติตามคำพิพากษา เมื่อโจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล จำเลยทั้งสองซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาย่อมมีสิทธิขอให้ศาลมีหมายบังคับคดีตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีดำเนินการให้เป็นไปตามคำบังคับได้โดยชอบ ศาลชั้นต้นออกคำบังคับและหมายบังคับคดีชอบแล้วไม่มีเหตุจะต้องเพิกถอนหมายบังคับคดี ศาลล่างทั้งสองไม่งดการบังคับคดีไว้ก่อนตามที่โจทก์และโจทก์ร่วมร้องขอ ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล

พิพากษายืน

Share