แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คำสั่งของศาลที่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการย่อมมีผลเฉพาะตัวลูกหนี้เท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้วมาผูกพันตามหนี้ที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ ส่วนบุคคลภายนอกซึ่งต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้ อันได้แก่ บุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้ หรือผู้รับผิดร่วมกับลูกหนี้ หรือผู้ค้ำประกัน หรือผู้อยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ นั้น คำสั่งของศาลที่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดชอบบุคคลเหล่านั้นที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน ความรับผิดของบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดอีกเช่นไรต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง ดังนั้น การที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดไปเสียทีเดียวย่อมขัดต่อ พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 90/60 วรรคสอง อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ข้อตกลงตามที่กำหนดตามแผนดังกล่าวจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 150
	แม้โจทก์จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้เต็มจำนวน แต่ก็เป็นการยื่นคำขอรับชำระหนี้ก่อนที่ศาลจะมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการ ทำให้โจทก์ได้รับการชำระหนี้จากลูกหนี้น้อยลงและจะเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากลูกหนี้อีกไม่ได้ แต่ในส่วนจำเลยทั้งสองผู้ค้ำประกันก็ยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ยังไม่ระงับทั้งหมดอยู่ โจทก์จึงฟ้องจำเลยทั้งสองได้ ไม่ถือเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน  ๑๕,๔๔๕,๓๕๔.๓๑  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  ๑๕  ต่อปี  ของต้นเงิน  ๑๑,๙๗๙,๗๔๑.๐๕  บาท  นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
   	จำเลยทั้งสองขอให้ยกฟ้อง
   	ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้อง  ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง  โดยกำหนดค่าทนายความให้  ๑๐,๐๐๐ บาท
   	โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
   	ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า  จำเลยทั้งสองทำสัญญาค้ำประกันการชำระหนี้เบิกเงินเกินบัญชี  หนี้เงินกู้  หนี้เกี่ยวกับเลตเตอร์ออฟเครดิต  ทรัสต์รีซีท  และหนี้อื่น ๆ  ของบริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  ไว้ต่อโจทก์  และบริษัทเป็นหนี้โจทก์ตามสัญญาเลตเตอร์ออฟเครดิตและทรัสต์รีซีท  นอกจากนี้บริษัทยังมีหนี้อื่นและมีเจ้าหนี้รายอื่นอีกหลายราย  ต่อมาบริษัทได้ทำสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้กับโจทก์และเจ้าหนี้รายอื่นที่เป็นสถาบันการเงินรวม  ๑๕  ราย  แต่ยังชำระหนี้แก่โจทก์
ไม่ครบถ้วน  ยังมีหนี้ค้างชำระคิดถึงวันฟ้องคดีนี้เป็นต้นเงิน  ๑๑,๙๗๙,๗๔๑.๐๕  บาท  และดอกเบี้ย  ๓,๔๖๕,๖๑๓.๒๖  บาท  รวมเป็นเงินทั้งสิ้น  ๑๕,๔๔๕,๓๕๔.๓๑ บาท  และบริษัทยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการต่อศาลล้มละลายกลาง  ซึ่งในที่สุดศาลมีคำสั่งให้ฟื้นฟูกิจการของบริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  แล้วตามคดีหมายเลขแดงที่  ๙๗๐/๒๕๔๖  ของศาลล้มละลายกลาง  โดยตามแผนฟื้นฟูกิจการมีข้อความเป็นทำนองให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดได้  และในระหว่างที่บริษัทยังปฏิบัติตามแผน  เจ้าหนี้จะไม่บังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกัน  ซึ่งก็ปรากฏว่าบริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  ได้ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ตามแผนฟื้นฟูกิจการโดยมิได้ผิดนัดแต่อย่างใด
   	มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า  การที่โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันการชำระหนี้ของบริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  ต่อโจทก์  ทั้งที่โจทก์ยังคงได้รับชำระหนี้จากบริษัทตามแผนฟื้นฟูกิจการมาโดยตลอด  เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตหรือไม่  เห็นว่า  ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.๒๔๘๓  มาตรา  ๙๐/๖๐  วรรคหนึ่ง  บัญญัติว่า  “แผนซึ่งศาลมีคำสั่งเห็นชอบแล้ว  ผูกมัดเจ้าหนี้ซึ่งอาจขอรับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการได้และเจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในการฟื้นฟูกิจการ  ทั้งนี้ตามมาตรา  ๙๐/๒๗”  และในวรรคสอง  บัญญัติว่า  “คำสั่งของศาลซึ่งเห็นชอบด้วยแผนไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดของบุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้  หรือผู้รับผิดร่วมกับลูกหนี้  หรือผู้ค้ำประกัน  หรืออยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้ในหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  และไม่มีผลให้บุคคลเช่นว่านั้นต้องรับผิดในหนี้ที่ก่อขึ้นตามแผนตั้งแต่วันดังกล่าว  เว้นแต่บุคคลเช่นว่านั้นจะยินยอมโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือด้วย”  ดังนั้น  คำสั่งของศาลที่เห็นชอบด้วยแผนนั้น ย่อมมีผลเฉพาะตัวลูกหนี้ในคดีฟื้นฟูกิจการเท่านั้นที่จะหลุดพ้นจากหนี้ที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนแล้วมาผูกพันตามหนี้ที่กำหนดไว้ในแผนฟื้นฟูกิจการ  ส่วนบุคคลภายนอกซึ่งต้องร่วมรับผิดกับลูกหนี้ตามมาตรา  ๙๐/๖๐  วรรคสอง  อันได้แก่ บุคคลซึ่งเป็นหุ้นส่วนกับลูกหนี้  หรือผู้รับผิดร่วมกับลูกหนี้  หรือผู้ค้ำประกันหรือผู้อยู่ในลักษณะอย่างผู้ค้ำประกันของลูกหนี้  นั้น  คำสั่งของศาลที่เห็นชอบด้วยแผนฟื้นฟูกิจการไม่มีผลเปลี่ยนแปลงความรับผิดชอบบุคคลเหล่านั้นที่มีอยู่ก่อนวันที่ศาลมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผน  ความรับผิดของบุคคลดังกล่าวจะต้องรับผิดอีกเช่นไร  ต้องเป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง  ดังนั้น  จำเลยทั้งสองในฐานะผู้ค้ำประกันบริษัทจะหลุดพ้นจากความรับผิดก็ต่อเมื่อหนี้นั้นได้ระงับสิ้นไปตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๖๙๘  ซึ่งหากโจทก์ได้รับชำระหนี้จากบริษัทลูกหนี้ดังกล่าวเพียงบางส่วน  หนี้ส่วนของจำเลยทั้งสองผู้ค้ำประกันก็ย่อมระงับเพียงบางส่วนเท่านั้น  ส่วนกรณีที่แผนฟื้นฟูกิจการกำหนดให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิดไปเสียทีเดียวนั้น  เป็นการขัดต่อพระราชบัญญัติล้มละลาย  พ.ศ.๒๔๘๓  มาตรา  ๙๐/๖๐  วรรคสอง  อันเป็นกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน  ข้อตกลงตามที่กำหนดตามแผนดังกล่าว จึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์  มาตรา  ๑๕๐  ดังนั้น  จำเลยทั้งสองจึงไม่หลุดพ้นจากหนี้ที่ต้องรับผิดต่อโจทก์และโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองผู้ค้ำประกันบริษัทได้  ซึ่งศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางก็ได้วินิจฉัย
ข้อกฎหมายนี้ไว้เช่นเดียวกันนี้แล้ว  นอกจากนี้ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางยังวินิจฉัยด้วยว่า  ในส่วนกรณีที่ตามแผนฟื้นฟูกิจการบริษัทลูกหนี้ข้อ ๒.๔  ระบุว่า  ในระหว่างที่บริษัทลูกหนี้สามารถดำเนินการตามแผนนี้เจ้าหนี้จะไม่บังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันตามสัญญา  ก็มีลักษณะเพียงการขอร้องเจ้าหนี้  มิได้มีสภาพบังคับ  สิทธิของโจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ที่มีอยู่ต่อจำเลยทั้งสองผู้ค้ำประกันตามกฎหมายว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่งมิได้ถูกจำกัดด้วยข้อกำหนดในแผนดังกล่าวแต่อย่างใด  แต่ที่ศาลดังกล่าววินิจฉัยว่า  การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตก็โดยเหตุผลที่เห็นว่า  พยานโจทก์คือ นายปรีชาและนางรัตยาเบิกความว่า  โจทก์ได้ขอยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อศาลล้มละลายกลางเต็มจำนวนแล้ว  และขณะโจทก์ฟ้องคดีนี้บริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  ลูกหนี้ที่ฟื้นฟูกิจการนี้ยังปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูกิจการ  โดยไม่ผิดนัดชำระหนี้  โจทก์จึงยังคงได้รับชำระหนี้จากบริษัทลูกหนี้ดังกล่าวมาโดยตลอด  แต่กลับมาฟ้องจำเลยทั้งสองคดีนี้  จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริตเท่านั้น  ซึ่งในข้อนี้เห็นว่า  แม้โจทก์จะยื่นคำขอรับชำระหนี้ไว้เต็มจำนวน แต่ก็เป็นการยื่นคำขอรับชำระหนี้ดังกล่าวไว้ตั้งแต่วันที่  ๒๖  สิงหาคม  ๒๕๔๖  และศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งเห็นชอบด้วยแผนในภายหลังและปรากฏตามแผนฟื้นฟูกิจการว่า  โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้กลุ่มที่  ๓  คือ  เจ้าหนี้สถาบันการเงินไม่มีประกันจะมีสิทธิได้รับชำระหนี้ต้นเงินจำนวนร้อยละ  ๒๖.๑๐  ของต้นเงินหนี้ไม่มีประกันจากกระแสเงินสดภายในระยะเวลา  ๑๒๐  เดือน  และแปลงหนี้เป็นทุนโดยหุ้นของบริษัทบางส่วนโดยมีหนี้ต้นเงินส่วนที่ให้ถือเป็นส่วนที่ได้รับการยกเว้นการชำระทั้งจำนวนทันทีที่ศาลเห็นชอบด้วยแผน  ดังนี้  จำนวนหนี้ที่บริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  เป็นหนี้ต่อโจทก์เป็นต้นเงินจำนวน  ๑๖๖,๒๙๘,๙๗๕.๔๐  บาท  ซึ่งโจทก์ขอรับชำระหนี้ไว้นั้น  จากแผนฟื้นฟูกิจการของบริษัทลูกหนี้นี้  โจทก์จะมีสิทธิได้รับการชำระหนี้ต้นเงินจากกระแสเงินสดเพียง  ๔๓,๔๐๗,๓๕๘.๕๖  บาท  กับการแปลงหนี้เป็นทุนในมูลค่าหุ้นเป็นเงิน  ๔,๒๓๖,๙๑๕.๖๓  บาท  เท่านั้น  จะเรียกร้องหนี้ส่วนที่เหลือจากลูกหนี้อีกไม่ได้  โดยบริษัทลูกหนี้ดังกล่าวได้รับการปลดเปลื้องความรับผิดในหนี้ส่วนที่ขาดโดยผลของกฎหมายในเรื่องการฟื้นฟูกิจการ  แต่ในส่วนจำเลยทั้งสองผู้ค้ำประกันก็ยังคงต้องรับผิดชำระหนี้ส่วนที่ยังไม่ระงับทั้งหมดอยู่  ดังนั้น  โจทก์จึงยังคงมีสิทธิฟ้องจำเลยทั้งสองได้เป็นคดีนี้ได้โดยชอบ  ไม่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริต  ส่วนที่จำเลยทั้งสองแก้อุทธรณ์เป็นทำนองเดียวกันว่า  ตามแผนฟื้นฟูกิจการข้อ  ๒.๔  เจ้าหนี้ตกลงจะไม่บังคับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันและหากลูกหนี้ชำระหนี้และปฏิบัติตามแผนฟื้นฟูกิจการเสร็จสิ้น  เจ้าหนี้ตกลงให้ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นความรับผิด  โดยโจทก์ลงมติยอมรับแผนฟื้นฟูกิจการนี้  ย่อมเป็นการแสดงเจตนาตกลงรับข้อกำหนดตามแผนฟื้นฟูกิจการดังกล่าวนี้ด้วย  การที่โจทก์ยังมาฟ้องคดีนี้เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น  เป็นการอ้างถึงเหตุที่ว่า  โจทก์ใช้สิทธิโดยไม่สุจริตคนละเหตุกันกับที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางใช้เป็นเหตุผลในการวินิจฉัยว่า  โจทก์ใช้สิทธิฟ้องคดีนี้โดยไม่สุจริต  และยังกลับเป็นการกล่าวอ้างโต้แย้งคำวินิจฉัยของศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางดังกล่าวมาข้างต้นแล้ว  อันต้องทำเป็นอุทธรณ์  เมื่อจำเลยทั้งสองเพียงแต่แก้อุทธรณ์มาจึงไม่ชอบ  และไม่รับวินิจฉัยให้  ที่ศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศกลางพิพากษายกฟ้องนั้น  ศาลฎีกาแผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศไม่เห็นพ้องด้วย  อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
   	พิพากษากลับ  ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระหนี้จำนวน  ๑๕,๔๔๕,๓๕๔.๓๑  บาท  พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ  ๑๕  ต่อปี  ของต้นเงินจำนวน  ๑๑,๙๗๙,๗๔๑.๐๕  บาท  นับถัดจากวันฟ้อง  (ฟ้องวันที่  ๒๘  พฤศจิกายน  ๒๕๕๐)  เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์  ทั้งนี้โดยหากโจทก์ได้รับชำระหนี้ส่วนดังกล่าวจากบริษัทไทยไวร์  โพรดัคท์  จำกัด  (มหาชน)  แล้วเป็นจำนวนเท่าใดให้นำมาหักออก  และบังคับได้เฉพาะส่วนที่ยังค้างชำระเท่านั้น  ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

