แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
หลักเกณฑ์การพิจารณาเรื่องการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ. 2522มาตรา 49 ศาลจำต้องพิจารณาว่ามีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่ และสาเหตุดังกล่าวมีเหตุเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญแม้การเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้ลูกจ้างเดือดร้อนก็ตามแต่หากเป็นความจำเป็นทางด้านนายจ้างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพื่อให้กิจการของนายจ้างยังคงดำรงย่อมเป็นสาเหตุที่จำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้ว ไม่ถือว่าเป็นการอยู่ต่อไป โดยหวังว่ากิจการของนายจ้างจะมีโอกาสกลับฟื้นคืนตัวได้ใหม่เลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์เรื่องการกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 121 มาตรา 122และมาตรา 123 จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะจำเลยประสบภาวะเศรษฐกิจ ลูกค้าของจำเลยลดการสั่งซื้อสินค้าทำให้การผลิตลดลง เป็นเหตุให้จำเลยต้องลดอัตรากำลังคนให้พอเหมาะแก่ปริมาณงานที่แท้จริง ทั้งก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยก็ได้คัดเลือกโจทก์ออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยไม่เลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งโจทก์ การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์กับลูกจ้างคนอื่น ๆ เพื่อต้องการพยุงกิจการของจำเลยให้อยู่รอดต่อไปได้เช่นนี้ จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีสาเหตุอันจำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้วกรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลยกำหนดว่าจำเลยจะจ่ายโบนัสแก่พนักงานในวันที่ 15 กรกฎาคม และวันที่ 15 มกราคม ของปีถัดไป โดยไม่มีข้อความว่าจะจ่ายให้แก่พนักงานที่พ้นสภาพการเป็นพนักงานก่อนวันดังกล่าว อันมีความหมายว่า พนักงานที่มีสิทธิได้รับโบนัสจะต้องมีตัวอยู่ในวันครบกำหนดจ่ายโบนัสด้วย การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทำให้โจทก์สิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไป ดังนั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาที่จำเลยจะจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานในวันที่ 15 มกราคม 2541 โจทก์สิ้นสภาพการเป็นพนักงานไปก่อนวันครบกำหนดจ่ายเงินโบนัสเสียแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินโบนัสจากจำเลย ในวันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเงินเดือนรวมกับเงินอื่นพร้อมที่จะจ่ายให้แก่โจทก์ แต่โจทก์ไม่ยอมลงลายมือชื่อรับเงินเพราะเกรงจะเป็นการสมัครใจลาออกจากงาน เมื่อเห็นได้ว่าจำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว แต่โจทก์ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้กรณีถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์โดยปราศจากเหตุอันสมควรแม้จำเลยจะไม่นำเงินดังกล่าวไปมอบไว้แก่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคสามก็ตาม โจทก์ก็ไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มตามข้อ 31 วรรคสอง
ย่อยาว
คดีทั้งสิบหกสำนวน ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้รวมการพิจารณาและพิพากษาเข้าด้วยกันกับคดีหมายเลขดำที่ 12318/2540 ของศาลแรงงานกลางโดยเรียกโจทก์ตามลำดับสำนวนว่าโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 17 แต่คดีดังกล่าวซึ่งเรียกโจทก์ว่า โจทก์ที่ 15ถอนฟ้อง คดีจึงขึ้นมาสู่การพิจารณาของศาลฎีกาเฉพาะสิบหกสำนวนนี้
โจทก์ทั้งสิบหกสำนวนฟ้องว่า โจทก์ทั้งสิบหกเป็นลูกจ้างของจำเลยนับแต่โจทก์ทั้งสิบหกทำงานให้แก่จำเลย จำเลยกำหนดการเกษียณอายุของพนักงานหญิงเมื่อมีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ส่วนพนักงานชาย 60 ปีบริบูรณ์ จึงจะเลิกจ้าง จำเลยกำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน ต่อมาวันที่ 22 สิงหาคม 2540 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ที่ 2ที่ 3 และที่ 5 วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 4 วันที่ 1 ตุลาคม 2540จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 6 ถึงที่ 14 วันที่ 22 ตุลาคม 2540 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 16 และที่ 17 โดยโจทก์ทุกคนไม่มีความผิด และเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ทั้งเป็นการเลิกจ้างก่อนครบระยะเวลาที่กำหนดไว้อย่างแน่นอน นอกจากนี้จำเลยยังค้างจ่ายค่าจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5โดยจงใจผิดนัดและปราศจากเหตุอันสมควร เมื่อพ้นกำหนดเจ็ดวัน จำเลยจึงต้องจ่ายเงินเพิ่มให้โจทก์ดังกล่าวร้อยละ 15 ของเงินที่ค้างทุกระยะเวลาเจ็ดวันขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปีโบนัส เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ค่าเสียหายเนื่องจากการเลิกจ้างไม่เป็นธรรมค่าขาดรายได้และค่าเสียหายเพิ่มไปจนถึงอายุ 55 ปี และ 60 ปีและเงินบำเหน็จแก่โจทก์ตามฟ้องและค่าจ้างค้างพร้อมเงินเพิ่มในอัตราร้อยละ 15 ต่อปนับแต่วันครบกำหนดจ่ายค่าจ้างให้โจทก์แต่ละคนจนถึงวันฟ้อง และในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จทุกระยะ 7 วัน
จำเลยทั้งสิบหกสำนวนให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหกเนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจถดถอยและมีผลกระทบต่อสถานะของบริษัทจำเลย ประกอบกับลูกค้าของจำเลยลดการสั่งซื้อสินค้า ทำให้ปริมาณงานลดลง จำเลยได้ลดอัตรากำลังให้พอเหมาะกับปริมาณงาน จำเลยได้คัดเลือกพนักงานจำนวนหนึ่งให้ออกจากการเป็นลูกจ้าง เนื่องจากสถิติการลาหยุดงานสูงอยู่ในเกณฑ์พิจารณา ต่อมาสภาพเศรษฐกิจกลับถดถอย จำเลยจำเป็นต้องปรับอัตราให้เหมาะสมกับปริมาณงานและยุบหน่วยงานโดยแต่ละครั้งจำเลยได้ตั้งคณะกรรมการพิจารณาตามหลักเกณฑ์ที่จำเลยได้ประกาศให้พนักงานทราบทั่วกันทั้งได้ใช้หลักเกณฑ์ดังกล่าวกับพนักงานทุกคน โดยจำเลยยินยอมจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินบำเหน็จค่าจ้างค้าง เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้โจทก์แต่ละคนตามสิทธิส่วนค่าเสียหายอื่นที่โจทก์แต่ละคนฟ้องมานั้น โจทก์แต่ละคนไม่มีสิทธิเรียกร้องจากจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า ค่าจ้างสำหรับวันหยุดพักผ่อนประจำปี เงินบำเหน็จ เงินกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 14 โจทก์ที่ 16 และโจทก์ที่ 17 ตามบัญชีพนักงานเลิกจ้างเอกสารหมาย ล.25 ท้ายคำพิพากษาคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก
โจทก์ที่ 1 ถึงโจทก์ที่ 14 โจทก์ที่ 16 และโจทก์ที่ 17 อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ที่โจทก์ทั้งสิบหกอุทธรณ์ประการแรกว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหกโดยโจทก์ทั้งสิบหกมิได้กระทำความผิดหรือฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับของจำเลยและจำเลยไม่ประสบภาวะขาดทุน การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหกเพื่อต้องการลดคนงานจึงเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมนั้นเห็นว่า หลักเกณฑ์การพิจารณาเรื่อง การเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 ศาลจำต้องพิจารณาว่ามีสาเหตุแห่งการเลิกจ้างหรือไม่ และสาเหตุดังกล่าวมีเหตุเพียงพอแก่การเลิกจ้างหรือไม่เป็นสำคัญแม้การเลิกจ้างนั้นจะเป็นเหตุให้ลูกจ้างเดือดร้อนหากเป็นความจำเป็นทางด้านนายจ้างที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้เพื่อให้กิจการของนายจ้างยังคงดำรงอยู่ต่อไป โดยหวังว่ากิจการของนายจ้างจะมีโอกาสกลับฟื้นคืนตัวได้ใหม่ย่อมเป็นสาเหตุที่จำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้ว กรณีไม่อาจถือได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม ซึ่งแตกต่างจากหลักเกณฑ์ เรื่อง การกระทำอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 121 มาตรา 122 และมาตรา 123 คดีทั้งสิบหกสำนวนนี้ โจทก์ทั้งสิบหกบรรยายฟ้องกล่าวหาว่า จำเลยฝ่าฝืนพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 กรณีเลิกจ้างไม่เป็นธรรมเท่านั้น หาได้กล่าวหาว่าจำเลยกระทำการอันไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติแรงงานสัมพันธ์พ.ศ. 2518 มาตรา 121 มาตรา 122 หรือมาตรา 123ด้วยไม่ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ศาลแรงงานกลางฟังเป็นยุติว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหก เพราะจำเลยประสบภาวะเศรษฐกิจ ลูกค้าของจำเลยลดการสั่งซื้อสินค้าทำให้การผลิตลดลงเป็นเหตุให้จำเลยต้องลดอัตรากำลังคนให้พอเหมาะแก่ปริมาณงานที่แท้จริงทั้งก่อนจำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหก จำเลยก็ได้คัดเลือกโจทก์ทั้งสิบหกออกจากงานตามหลักเกณฑ์ที่ทุกฝ่ายยอมรับโดยไม่เลือกปฏิบัติหรือกลั่นแกล้งโจทก์ทั้งสิบหกแต่อย่างใด การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหกกับลูกจ้างคนอื่น ๆ เพื่อต้องการพยุงกิจการของจำเลยให้อยู่รอดต่อไปได้เช่นนี้ จึงเป็นการเลิกจ้างที่มีสาเหตุอันจำเป็นและเพียงพอแก่การเลิกจ้างแล้วกรณีถือไม่ได้ว่าเป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ. 2522 มาตรา 49 โจทก์ทั้งสิบหกจึงไม่มีสิทธิได้รับค่าเสียหายตามฟ้อง
ที่โจทก์ทั้งสิบหกอุทธรณ์ประการต่อไปว่า ตามระเบียบข้อบังคับของจำเลยตามเอกสารหมาย ล.27 จำเลยจะจ่ายโบนัสให้แก่พนักงานในวันที่ 15 กรกฎาคม และวันที่ 15 มกราคม ของปีถัดไป การที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ทั้งสิบหกโดยโจทก์แต่ละคนไม่มีความผิดในปีที่ถูกเลิกจ้าง ระยะเวลาการทำงานที่ผ่านมาในปีที่ถูกเลิกจ้างก็เป็นเวลาหลายเดือนจำเลยต้องเฉลี่ยเงินส่วนนี้ให้แก่โจทก์ทั้งสิบหกนั้น เห็นว่า ระเบียบข้อบังคับเอกสารหมาย ล.27 กำหนดว่าจำเลยจะจ่ายโบนัสแก่พนักงานในวันที่ 15 กรกฎาคม และวันที่ 15 มกราคม ของปีถัดไป โดยไม่มีข้อความว่าจะจ่ายให้แก่พนักงานที่พ้นสภาพการเป็นพนักงานก่อนวันดังกล่าว อันมีความหมายว่า พนักงานที่มีสิทธิได้รับโบนัสจะต้องมีตัวอยู่ในวันครบกำหนดจ่ายโบนัสด้วยปรากฏว่าจำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 3 และที่ 5 เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2540 เลิกจ้างโจทก์ที่ 4 วันที่ 31 กรกฎาคม 2540 เลิกจ้างโจทก์ที่ 6 ถึงที่ 14 วันที่ 1 ตุลาคม 2540 เลิกจ้างโจทก์ที่ 16 และที่ 17 วันที่ 22 ตุลาคม 2540 ทำให้โจทก์ทั้งสิบหกสิ้นสภาพการเป็นลูกจ้างของจำเลยตั้งแต่วันเลิกจ้างเป็นต้นไปดังนั้นเมื่อถึงกำหนดเวลาที่จำเลยจะจ่ายเงินโบนัสให้แก่พนักงานในวันที่ 15 มกราคม 2541 โจทก์ทั้งสิบหกสิ้นสภาพการเป็นพนักงานไปก่อนวันครบกำหนดจ่ายเงินโบนัสเสียแล้วโจทก์ทั้งสิบหกจึงไม่มีสิทธิที่จะเรียกเงินโบนัสจากจำเลย
ที่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 อุทธรณ์ว่า เมื่อโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่รับเงินค่าจ้าง จำเลยต้องนำเงินดังกล่าวไปมอบให้อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมายเพื่อจ่ายให้แก่โจทก์ ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคสาม เมื่อพ้นกำหนด7 วัน จำเลยต้องจ่ายเงินเพิ่มให้แก่โจทก์ทั้งห้าทุกระยะ 7 วัน นั้นศาลแรงงานกลางฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า วันที่จำเลยเลิกจ้างโจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 จำเลยได้สั่งจ่ายเช็คเงินเดือนรวมกับเงินอื่นพร้อมที่จะจ่ายให้แก่โจทก์ทั้งห้าแต่โจทก์ทั้งห้าไม่ยอมลงลายมือชื่อรับเงินเพราะเกรงจะเป็นการสมัครใจลาออกจากงานจำเลยไม่มีเจตนาจะไม่จ่ายค่าจ้างแต่อย่างใด เห็นว่า เป็นกรณีที่จำเลยขอปฏิบัติการชำระหนี้โดยชอบแล้ว แต่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ปฏิเสธไม่ยอมรับชำระหนี้ ถือไม่ได้ว่าจำเลยจงใจผิดนัดไม่จ่ายค่าจ้างให้แก่โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 โดยปราศจากเหตุอันสมควรแม้จำเลยจะไม่นำเงินดังกล่าวไปมอบไว้แก่อธิบดีหรือผู้ซึ่งอธิบดีมอบหมาย ตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 31 วรรคสาม ก็ตาม โจทก์ที่ 1 ถึงที่ 5 ไม่มีสิทธิคิดเงินเพิ่มตามข้อ 31 วรรคสอง
พิพากษายืน