คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8490/2552

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนโดยใช้โฉนดที่ดินพิพาทปลอมที่มีรอยตราปลอมประทับอยู่ ไปแลกเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงของผู้เสียหายมา อันเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย แล้วนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงพร้อมหนังสือมอบอำนาจปลอมของผู้เสียหาย ไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี อันเป็นความผิดตาม ป.อ. มาตรา 188 มาตรา 252 ประกอบมาตรา 251 และมาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 การกระทำทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ การทำให้สามารถขายหรือขายฝากที่ดินพร้อมอาคารพิพาทของผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตาม ป.อ. มาตรา 90 อันได้แก่ความผิดฐานใช้โฉนดที่ดินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตาม ป.อ. มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1)

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 91, 188, 251, 252, 264, 265, 266, 268, 335 และริบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจปลอมของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, 251, 252, 264, 265, 266 (1), 268 วรรคแรก, 335 (7) วรรคแรก ประกอบด้วยมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานปลอมเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 266 (1) ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) แต่เพียงกระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรคสอง จำคุก 4 ปี ริบโฉนดที่ดินและหนังสือมอบอำนาจของกลาง คำขออื่นให้ยก
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานร่วมกันใช้เอกสารปลอมตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264 วรรคแรกและมาตรา 83 จำคุก 2 ปี ข้อหาอื่นให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัย ตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า นอกจากความผิดฐานใช้เอกสารใบมอบอำนาจ อันเป็นเอกสารปลอมแล้ว จำเลยได้กระทำความผิดอื่นตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า ผู้เสียหายและนางสมพรเบิกความทำนองเดียวกันว่าสองครั้งแรกที่นายสุวรรณมาคนเดียว กับครั้งที่สามที่นายสุวรรณมากับนายธวัช แม้ทั้งสามครั้งบุคคลทั้งสองจะมีการขอสำเนาเอกสารโฉนดที่ดินพิพาท และผู้เสียหายได้มอบให้ไปนั้น ตลอดเวลาของการขอสำเนาโฉนดที่ดินตลอดจนการตรวจดูโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงอยู่ในสายตาของผู้เสียหายอยู่ตลอดเวลา คงมีแต่ครั้งสุดท้ายคือครั้งที่สี่ที่จำเลยและนางเก๋มาด้วย ที่มีการนำโฉนดที่ดินพิพาทออกไปถ่ายเอกสารที่ตลาดตำบลระแหง หลังจากนั้นไม่มีผู้ใดเข้ามาเกี่ยวข้องกับโฉนดที่ดินพิพาทอีก จนกระทั่งมีชายหญิงคู่หนึ่งสนใจจะมาซื้อที่ดินและอาคารพิพาทและขอดูโฉนด ผู้เสียหายจึงทราบว่าโฉนดที่ดินพิพาทที่มีอยู่กลายเป็นฉบับปลอม แสดงว่าโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงและฉบับปลอม เพิ่งจะมีการสับเปลี่ยนในครั้งสุดท้ายที่นายสุวรรณ นายธวัช จำเลยและนางเก๋มาด้วยกัน โดยทั้งสี่คนมีการวางแผนร่วมกันให้นายสุวรรณและนายธวัชมาขอสำเนาโฉนดที่ดินพิพาทไปก่อนเพื่อนำไปทำฉบับปลอม ต่อเมื่อได้ทำฉบับปลอมเสร็จแล้วจึงนำมาสับเปลี่ยนในครั้งสุดท้าย โดยมากันทั้งสี่คนเพื่อแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้การสับเปลี่ยนง่ายขึ้นเนื่องจากในช่วงนั้นผู้เสียหายก็คงเริ่มไว้วางใจนายสุวรรณแล้วเพราะมาหลายครั้งและยืนยันรวมทั้งแสดงท่าทางว่าตั้งใจจะซื้อจริง หลังจากจำเลยมากับนายสุวรรณพร้อมด้วยนายธวัชและนางเก๋ในครั้งสุดท้ายแล้ว มีผู้ที่พบจำเลยครอบครองโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับคือนายศรายุทธ เจ้าหน้าที่บริหารที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีที่เบิกความยืนยันว่าเห็นจำเลยนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับมาติดต่อกับสำนักงานที่ดินดังกล่าวถึง 2 ครั้ง นอกจากนี้โจทก์ยังมีนายกฤษณะ ผู้ใหญ่บ้าน และพันตำรวจโทสมบัติ พนักงานสอบสวนเบิกความเป็นอย่างเดียวกันว่า เมื่อพันตำรวจโทสมบัติได้รับแจ้งความจากผู้เสียหายและได้หมายเลขโทรศัพท์จำเลยจากผู้เสียหายแล้ว ได้ติดต่อนายกฤษณะให้ช่วยกันวางแผนจับกุมจำเลย โดยให้นายกฤษณะโทรศัพท์ไปหาจำเลย ทำทีว่าสนใจจะซื้อที่ดินและอาคารพิพาท นัดหมายพบกัน ณ ที่ดินและอาคารพิพาท ซึ่งจำเลยก็มาตามนัดและเป็นผู้นำนายกฤษณะชมอาคารพิพาท โดยเข้าทางประตูด้านหลัง ผู้เสียหายซึ่งแอบซุ่มอยู่กับพันตำรวจโทสมบัติในอาคารดังกล่าว เห็นจำเลยแล้วจำได้จึงชี้ตัวให้จับกุมเห็นว่า ทั้งนายกฤษณะ พันตำรวจโทสมบัติ ผู้เสียหายและนางสาวสมพร ต่างไม่เคยรู้จักจำเลยมาก่อน ไม่มีเหตุที่จะให้ระแวงสงสัยว่าจะช่วยกันเบิกความปรักปรำใส่ร้ายจำเลยด้วยเหตุใด ส่วนนายศรายุทธ แม้เคยรู้จักจำเลยมาก่อนก็ไม่ปรากฏสาเหตุโกรธเคืองกัน แต่กลับมีลักษณะที่ดีต่อกัน น่าเชื่อว่าพยานโจทก์เหล่านี้เบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น พฤติการณ์แห่งคดีจึงฟังได้ว่า แม้ไม่มีประจักษ์พยานโจทก์รู้เห็นโดยตรงว่าจำเลยร่วมกับพวกลักโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริง แต่พยานแวดล้อมที่ใกล้ชิดเหตุการณ์สอดคล้องต่อเนื่องเชื่อมโยงกันเชื่อได้ว่า จำเลยกับพวกนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับปลอม มาสับเปลี่ยนกับฉบับจริงของผู้เสียหายในวันที่จำเลย นางเก๋ นายสุวรรณและนายธวัชมาบ้านผู้เสียหายในครั้งที่สี่เพราะมิฉะนั้นจำเลยก็คงจะไม่สามารถครอบครองโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงหลังจากวันนั้นได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นการร่วมกับพวกเอาไปเสียและลักโฉนดที่ดินพิพาททั้งสองฉบับของผู้เสียหายโดยวิธีการใช้อุบาย ส่วนที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า จำเลยไม่เคยรู้จักผู้เสียหาย นางจุฑามาศหรือเก๋เป็นผู้นำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับของผู้เสียหายมาให้จำเลยช่วยหาผู้ซื้อให้ ต่อมามีนางอ้อยซึ่งอ้างว่าได้หมายเลขโทรศัพท์ของจำเลยจากนางเก๋โทรศัพท์มาหาจำเลยว่าสนใจจะซื้อที่ดินและอาคารพิพาท โดยผู้ที่จะซื้อชื่อนายสมบัติ จำเลยจึงโทรศัพท์ติดต่อผู้เสียหาย นัดหมายพบกันที่หน้าที่ดินและอาคารพิพาท เมื่อจำเลยไปถึงสถานที่ดังกล่าวก็ถูกจับกุม คงมีแต่ตัวจำเลยคนเดียวเบิกความ ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดสนับสนุน นางเก๋และนางอ้อย จำเลยก็มิได้นำมาสืบ จึงเป็นคำเบิกความลอย ๆ ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่มีน้ำหนักพอที่จะฟังหักล้างพยานโจทก์ได้ พยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง รับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยร่วมกับพวกเอาไปเสียและลักเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงทั้งสองฉบับของผู้เสียหายไปโดยวิธีการใช้กลอุบาย นำเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับปลอมมาสับเปลี่ยนไว้ และเมื่อฟังได้ว่าจำเลยร่วมกับพวกนำโฉนดที่ดินพิพาทปลอมมาสับเปลี่ยนกับฉบับจริง ย่อมเป็นการใช้เอกสารปลอมที่มีรอยตราปลอมของเจ้าพนักงานที่ดินและของสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานีประทับอยู่ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้เสียหาย เจ้าพนักงานที่ดินและสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี หรือประชาชน และโฉนดที่ดินเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, มาตรา 252 ประกอบมาตรา 251, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) และมาตรา 335 (7) วรรคแรก ประกอบมาตรา 83 ฎีกาของโจทก์ในความผิดทั้งสี่ฐานนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์อีกประการหนึ่งว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกี่กรรม เห็นว่า การที่จำเลยกับพวกร่วมกันวางแผนโดยใช้โฉนดที่ดินพิพาทปลอมที่มีรอยตราปลอมประทับอยู่ ไปแลกเอาโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงของผู้เสียหายมาอันเป็นการเอาไปเสียซึ่งเอกสารและลักทรัพย์โดยใช้กลอุบาย แล้วนำโฉนดที่ดินพิพาทฉบับจริงพร้อมหนังสือมอบอำนาจปลอมของผู้เสียหายไปใช้แสดงต่อเจ้าพนักงานที่ดินสำนักงานที่ดินจังหวัดปทุมธานี การกระทำทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์เพียงอย่างเดียวคือ การทำให้สามารถขายหรือขายฝากที่ดินพร้อมอาคารพิพาทของผู้เสียหายเท่านั้น การกระทำของจำเลยจึงเป็นการกระทำความผิดกรรมเดียวแต่ผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องใช้กฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดลงโทษแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 อันได้แก่ความผิดฐานใช้โฉนดที่ดินซึ่งเป็นเอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอม ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1) กรณีไม่ใช่เป็นความผิดหลายกรรมดังที่โจทก์ฎีกา ฎีกาข้อนี้ของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
สำหรับโทษที่จะลงแก่จำเลยนั้น เห็นว่า จำเลยร่วมกระทำความผิดกันหลายคน มีการวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำ มีลักษณะเป็นกระบวนการที่เป็นภัยต่อสุจริตชนทั้งหลายที่ประสงค์จะซื้อขายที่ดินกันตามปกติ จึงเห็นสมควรลงโทษจำคุก 4 ปี
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 188, มาตรา 252 ประกอบมาตรา 251, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 264, มาตรา 268 วรรคแรก ประกอบมาตรา 266 (1), มาตรา 335 (7) วรรคแรกประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานใช้เอกสารสิทธิอันเป็นเอกสารราชการปลอมตามมาตรา 268 วรรคแรกประกอบมาตรา 266 (1) อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 วางโทษจำคุก 4 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share