แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์ได้รับเงินเดือนและได้รับค่าพาหนะค่าที่พักซึ่งโจทก์ต้องไปทำงานต่างจังหวัดทุกเดือนเดือนละ 25 วันอีกต่างหากเป็นการเหมาจ่ายโดยลักษณะงานเวลาทำงานปกติของโจทก์อยู่ในต่างจังหวัด ดังนี้ เงินค่าพาหนะค่าที่พักจึงเป็นเงินที่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานปกติในวันทำงานของโจทก์ และถือได้ว่าเป็นค่าจ้างโดยไม่คำนึงว่าจะเรียกเงินดังกล่าวอย่างไร(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 172/2524)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยจ้างโจทก์เป็นลูกจ้างประจำ เงินเดือนเดือนละ 2,000 บาท เงินค่าตอบแทนเป็นค่าพาหนะค่าเดินทางปฏิบัติหน้าที่ต่างจังหวัดเดือนละ 9,000 บาท ค่านายหน้าร้อยละสามเดือนละ 4,500 บาท โจทก์ทำงานติดต่อกันครบหนึ่งปี จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์มิได้กระทำความผิด ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า ไม่จ่ายค่าชดเชย ขอให้บังคับจำเลยจ่าย สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 15,500 บาท ค่าชดเชยเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเก้าสิบวัน 46,500 บาท รวมเป็นเงิน 62,000 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ย
จำเลยให้การว่า จำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์กระทำความผิด จำเลยสั่งให้โจทก์ประพฤติตนให้ถูกต้องหลายครั้ง โจทก์ไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง เป็นการขัดคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างอย่างร้ายแรง จำเลยเลิกจ้างโจทก์ไม่ต้องจ่ายค่าชดเชย ค่าพาหนะ ค่าเดินทางไม่ถือเป็นค่าจ้าง เงินเพิ่มร้อยละสามของสินค้าที่เก็บไว้ไม่ถือเป็นค่าจ้าง หากจำเลยจ่ายสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าและค่าชดเชยก็มิใช่จำนวนมากดังฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่า แม้โจทก์ฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับหรือขัดคำสั่งของนายจ้างก็มิใช่กรณีร้ายแรง จำเลยไม่เคยตักเตือนโจทก์เป็นหนังสือ เมื่อเลิกจ้างจึงต้องจ่ายค่าชดเชย แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ละเลยไม่นำพาต่อคำสั่งจงใจขัดคำสั่งของจำเลย จำเลยเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าเงินค่าพาหนะค่าที่พักไม่ใช่ค่าจ้าง เงินค่านายหน้าถือเป็นค่าจ้างต้องนำมารวมคำนวณค่าชดเชย รวมค่านายหน้า 90 วันสุดท้ายเป็นเกณฑ์คำนวณค่าชดเชยคือ 10,591 บาท รวมกับเงินเดือนของโจทก์ 90 วันสุดท้าย 6,000 บาท พิพากษาให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 16,591 บาทแก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ย
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ปัญหาตามอุทธรณ์โจทก์มีข้อเดียวว่าค่าพาหนะและค่าใช้จ่ายในการเดินทางปฏิบัติหน้าที่ในต่างจังหวัดถือเป็นค่าจ้างหรือไม่ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เป็นลูกจ้างประจำตำแหน่งพนักงานฝ่ายขายและเก็บเงินต่างจังหวัดได้รับเงินเดือนเดือนละ 2,000 บาท ค่าพาหนะค่าที่พักซึ่งโจทก์ต้องทำงานต่างจังหวัดเดือนละประมาณ 25 วันอีกเดือนละ 9,000 บาท ทุกเดือนเป็นการเหมาจ่าย ดังนี้เห็นว่า โดยลักษณะงานของโจทก์ โจทก์ต้องออกทำงานต่างจังหวัดทุกเดือน เดือนละ 25 วัน โจทก์ไม่มีหน้าที่ต้องประจำทำงานที่บริษัทจำเลย เวลาทำงานปกติของวันทำงานของโจทก์อยู่ในต่างจังหวัด ฉะนั้นเงินค่าพาหนะค่าที่พักที่จำเลยผู้เป็นนายจ้างจ่ายให้แก่โจทก์เป็นการจ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานในเวลาปกติของวันทำงานของโจทก์เดือนละ 9,000 บาท จึงถือเป็นค่าจ้างตามประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง การคุ้มครองแรงงาน ข้อ 2โดยไม่คำนึงถึงว่าจะเรียกชื่อเงินจำนวนดังกล่าว เป็นค่าพาหนะค่าที่พัก หรือชื่ออื่น ๆ เทียบคำพิพากษาฎีกาที่ 172/2524 นายรัฐ ตรีสิน โจทก์ บริษัทซัมมิทออยล์ จำกัด กับพวก จำเลย ส่วนคำพิพากษาฎีกาที่ 1468/2525และคำพิพากษาฎีกาที่ 2377/2526 ที่ ศาลแรงงานกลางยกขึ้นอ้างไม่ตรงกับคดีนี้
พิพากษาแก้เป็นว่า ค่าพาหนะค่าที่พักในคดีนี้เป็นค่าจ้างต้องนำมารวมเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยด้วย ให้จำเลยจ่ายค่าชดเชย 43,591 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง