คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2381/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืนศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทที่ลงโทษจากพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 72 วรรคหนึ่ง เป็นมาตรา 72 วรรคสาม และแก้โทษจากจำคุก2 ปี เป็นจำคุก 1 ปี เป็นการแก้ไขมาก แต่ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกินสองปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนข้อหาพาอาวุธปืนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ตามศาลชั้นต้นและลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหา ข้อเท็จจริง ตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง คำให้การในชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์สอดคล้องตามกันและได้ให้การภายหลังเกิดเหตุทันที่โดยไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำผู้หนึ่งผู้ใด เชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงตามที่ได้รู้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐาน การที่ประจักษ์พยานโจทก์มาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายก็คงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด เชื่อว่าคำให้การชั้นสอบสวนของประจักษ์พยานโจทก์เป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณาทั้งคำให้การชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลประการใด เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดี เช่น จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม ย่อมมีน้ำหนักมั่นคงฟังลงโทษจำเลยได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91, 288, 371 พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา(ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2526 มาตรา 4 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490มาตรา 7, 8 ทวิ, 72, 72 ทวิ คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 ริบของกลาง
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนเครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืนพ.ศ. 2490 มาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคหนึ่ง, 72 ทวิ วรรคสองคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21 ตุลาคม2519 ข้อ 3, 6, 7 เรื่องกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นลงโทษจำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนกับเครื่องกระสุนปืนจำคุก 2 ปี ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 72 ทวิ วรรคสอง ซึ่งเป็นบทหนัก จำคุกอีก 1 ปี รวมลงโทษจำคุก 18 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีมีเหตุบรรเทาโทษ ปรานีลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงเหลือโทษจำคุกทั้งสิ้น 13 ปี 6 เดือน ริบกระสุนปืนของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 , 371 พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯมาตรา 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง(ที่ถูกมาตรา 7, 8 ทวิ วรรคหนึ่ง, 72 วรรคสาม, 72 ทวิ วรรคสอง)คำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 44 ลงวันที่ 21ตุลาคม 2519 ข้อ 3, 6, 7 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 91 ฐานฆ่าผู้อื่นจำคุก 15 ปี ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืน จำคุก 1 ปี ฐานพาอาวุธปืนลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ มาตรา 72 ทวิ วรรคสอง อันเป็นบทหนัก จำคุก 1 ปีรวมโทษจำคุก 17 ปี คำให้การรับสารภาพชั้นจับกุมเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา คดีมีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 หนึ่งในสี่ คงเหลือโทษจำคุก 12 ปี 9 เดือน ริบกระสุนปืนของกลาง
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่าพยานหลักฐานโจทก์ฟังไม่ได้ว่าจำเลยกระทำผิดตามฟ้อง ขอให้พิพากษายกฟ้องนั้นเห็นว่า คดีนี้ข้อหาความผิดฐานมีอาวุธปืน ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้บทที่ลงโทษจากมาตรา 72 วรรคหนึ่ง เป็น มาตรา 72 วรรคสาม และแก้ไขโทษจากจำคุก 2 ปี เป็นจำคุก 1 ปี เป็นการแก้ไขมาก แต่ยังคงลงโทษจำคุกไม่เกินสองปี จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ส่วนข้อหาพาอาวุธปืน ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยข้อหาความผิดทั้งสองฐานดังกล่าว คงรับวินิจฉัยให้เพียงข้อเดียวว่าจำเลยเป็นคนร้ายฆ่าผู้ตายหรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบเอกกอบพร กระแสเศวตเป็นประจักษ์พยานสำคัญ แต่ประจักษ์พยานโจทก์ปากนี้เบิกความแตกต่างกับคำให้การในชั้นสอบสวนโดยเบิกความว่า ขณะเกิดเหตุพยานนั่งประจำที่คนขับในรถยนต์ ผู้ตายนั่งอยู่ด้านหลังพยาน ขณะที่พยานกำลังจะเคลื่อนรถ พยานทำไฟแช็กตกไปที่พื้นรถจึงก้มลงเก็บมีรถจักรยานยนต์แล่นเข้ามาจอดใกล้รถของพยาน ผู้ตายเปิดประตูรถออกไป มีเสียงปืนดังขึ้นหลายนัด พยานจึงหมอบลง เมื่อสิ้นเสียงปืนก็ได้ยินเสียงรถจักรยานยนต์แล่นออกไป พยานเปิดประตูรถออกไปพบผู้ตายถูกยิง ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตาย แต่ในชั้นสอบสวนจ่าสิบเอกกอบพรให้การยืนยันต่อพันตำรวจโทชัชวาลย์สุขสมจิตต์ พนักงานสอบสวนในคืนเกิดเหตุว่า จำเลยเป็นคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย 4-5 นัด ตามบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.3ขณะทำการสอบสวน พันตำรวจโทชัชวาลย์ได้นำภาพถ่ายของจำเลยซึ่งเคยถูกจับกุมในข้อหาซ่องโจรเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2529 มาให้พยานดู พยานดูภาพถ่ายหมาย จ.4 แล้วยืนยันว่าเป็นภาพถ่ายของจำเลยจริง นอกจากจ่าสิบเอกกอบพรแล้วโจทก์ยังมีพยานผู้รู้เห็นเหตุการณ์ซึ่งเป็นเพื่อนกับจำเลยและผู้ตายอีกหลายปากโดยเฉพาะนายกรีฑาหรือต้อ ตีคะกุล เป็นพยานปากหนึ่งซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์โดยตลอดแต่โจทก์ไม่สามารถนำตัวพยานปากนี้มาเบิกความต่อศาลได้เนื่องจากหาตัวไม่พบ โจทก์จึงส่งคำให้การชั้นสอบสวนของนายกรีฑาหรือต้อเป็นพยาน โดยมีพันตำรวจโทชัชวาลย์มาเบิกความยืนยันว่าได้สอบสวนพยานปากนี้ไว้จริง ศาลฎีกาเห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจ่าสิบเอกกอบพรและนายกรีฑาหรือต้อพยานโจทก์สอดคล้องตรงกันและได้ให้การภายหลังเกิดเหตุทันทีโดยไม่มีเวลาคิดไตร่ตรองเพื่อช่วยเหลือหรือปรักปรำผู้หนึ่งผู้ใด เชื่อว่าได้ให้การไปตามความจริงตามที่ได้รู้ได้เห็นโดยไม่มีเหตุจูงใจหรือถูกบังคับขู่เข็ญแต่อย่างใด พนักงานสอบสวนจึงได้บันทึกและให้ลงชื่อไว้เป็นหลักฐานการที่จ่าสิบเอกกอบพรประจักษ์พยานโจทก์มาเบิกความในชั้นพิจารณาของศาลว่า ไม่ทราบว่าใครเป็นคนร้ายที่ยิงผู้ตายก็คงเพื่อช่วยเหลือจำเลยให้พ้นผิด ศาลฎีกาเชื่อว่าคำให้การชั้นสอบสวนของจ่าสิบเอกกอบพรเป็นความจริงยิ่งกว่าคำเบิกความในชั้นพิจารณา และเห็นว่าคำให้การชั้นสอบสวนไม่มีกฎหมายบัญญัติห้ามไม่ให้รับฟังประกอบเป็นข้อพิจารณาของศาลประการใด เมื่อรับฟังประกอบพยานหลักฐานอื่นตลอดจนพฤติการณ์แห่งคดี เช่น จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุม โดยโจทก์มีนายดาบตำรวจสมาน บัวสมบัติ ผู้จับกุมจำเลยมาเบิกความสนับสนุนว่า จำเลยให้การรับสารภาพจริง ไม่ปรากฏว่าจำเลยถูกทำร้ายร่างกายหรือบังคับขู่เข็ญให้ให้การรับสารภาพแต่อย่างใด เชื่อว่าจำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมด้วยความสมัครใจ นอกจากนี้ยังได้ความจากคำเบิกความของนางวนิดา เกเนอร์ น้องสาวผู้ตายว่า คืนเกิดเหตุว่าจ่าสิบเอกกอบพรและร้อยตรีกมล อ่องแสงคุณ เพื่อนของผู้ตายไปบอกพยานว่าจำเลยใช้อาวุธปืนยิงผู้ตาย เห็นว่าพยานหลักฐานของโจทก์มีน้ำหนักมั่นคง คดีฟังได้ว่าจำเลยเป็นคนร้ายรายนี้ พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้
พิพากษายืน

Share